เลือก รสชาติไวน์ ที่ใช่ ให้ตรงไลฟ์สไตล์ที่ชอบ
“เพราะ รสชาติไวน์ แต่ละชนิด
ให้สัมผัสทางด้านอารมณ์แตกต่างกันไป”
รสชาติไวน์มักมีรสสัมผัสโดดเด่นที่แตกต่างกันไปไม่ว่าจะเป็นรสชาติหวาน ขม เปรี้ยว หรือรสอื่นๆ ที่ลิ้นของมนุษย์อย่างเราจะสัมผัสได้ สิ่งสำคัญที่ทำให้รสชาติไวน์มีความแตกต่างกัน มักขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิตของไวน์ในแต่ละชนิด ไม่ว่าจะเป็น (สายพันธุ์องุ่น,สถานที่ปลูกองุ่น,ปริมาณน้ำฝน,สภาพดินฟ้าอากาศ,อุณหภูมิ,ความชื้น,พันธุ์ของยีสต์ที่นำมาหมัก,ระยะเวลาการหมัก,ชนิดของถังหมัก,ความเก่าใหม่ของถังหมัก) ปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้รสชาติไวน์แต่ละชนิดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คราวนี้เรามาดูกันว่ารสชาติของไวน์มีลักษณะเด่นๆ อะไรซ่อนอยู่กันบ้าง
รสชาติไวน์ มี 5 สัมผัสเด่น
รสชาติไวน์ มีทั้งหมด 5 รสสัมผัส ‘’SATAB’’ เป็นตัวบอกคาแรกเตอร์ของไวน์แต่ละชนิดได้อย่างชัดเจนที่สุด ดังนี้
1.รสชาติหวาน (Sweetness)
รสชาติหวานจากไวน์ที่เราสัมผัสได้มักมาจากน้ำตาลในสายพันธุ์องุ่นที่นำมาใช้บ่มไวน์ นิยมดื่มคู่กับอาหารที่มีรสชาติหวานน้อยมากๆ เพื่อให้รสชาติไวน์เด่นขึ้นมา ซึ่งมีการแยกระดับความหวานและใช้คำเรียก ดังนี้
- Dry (หวานน้อย) – เป็นไวน์ที่มีน้ำตาลน้อยกว่า 1% มีการผลิตโดยการหมักให้น้ำตาลในองุ่นกลายเป็นแอลกอฮอล์จนหมด
- Off Dry/Medium Dry (หวานปานกลาง) – เป็นไวน์ที่มีน้ำตาลมากกว่า 3% ช่วยลดความเปรี้ยวและเพิ่มกลิ่นหอมให้กับไวน์
- Sweet (หวานมาก) – เป็นไวน์ที่มีน้ำตาลมากกว่า 5% ขึ้นไป จะเป็นการผลิตที่ไม่ปล่อยให้น้ำตาลในองุ่นเสียไป
2.รสชาติเปรี้ยว (Acidity)
รสชาติเปรี้ยวจะเป็นสิ่งที่มาจากกรดในองุ่น (กรดซิตริก,กรดมาลิก,กรดทาทาริก) ไวน์โดยทั่วไปมักมีค่าความเป็นกรด(pH) อยู่ที่ประมาณ 2.5 – 4.5 pH ซึ่งมีการแยกระดับความเปรี้ยวและใช้คำเรียก ดังนี้
- Low acidity (เปรี้ยวน้อย) – จะเป็นไวน์ที่ใช้องุ่นกึ่งสุกกึ่งดิบมาบ่ม ซึ่งทำให้มีสัมผัสความเปรี้ยวอยู่เล็กน้อย
- Medium acidity (เปรี้ยวปานกลาง) – มีความเป็นกรดอยู่ในระดับกลาง รสชาติไวน์จะมีความเปรี้ยวอยู่ในระดับที่พอเหมาะ
- High acidity (เปรี้ยวมาก) – มักทำมาจากองุ่นที่ยังไม่สุกซึ่งทำให้มีกรดที่สูงมาก จนมีความเปรี้ยวที่เด่นชัดเป็นอย่างมาก
3.รสชาติขม/ฝาด (Tannin)
รสชาติฝาดและขมในไวน์มาจากสารประกอบที่พบได้จาก ผิวองุ่น ก้านองุ่น และเมล็ดองุ่น อีกทั้งสารนี้ยังพบได้จากถังไม้โอ๊กที่ใช้บ่มไวน์อีกด้วย ซึ่งมีการแยกระดับความขมและใช้คำเรียก ดังนี้
- Low tannin (ขมน้อย)
- Medium Tannin (ขมปานกลาง)
- Astringent (ขมมาก)
4.แอลกอฮอล์ (Alcohol)
แอลกอฮอล์มักเกิดจากช่วงกระบวนการบ่มไวน์ ซึ่งจะมีการแปรสภาพจากน้ำตาลในองุ่นให้กลายเป็นแอลกอฮอล์จะให้รสชาติแสบร้อนหลังดื่มเข้าไป ในการดื่มไวน์จะมีการแยกระดับแอลกอฮอล์และใช้คำเรียก ดังนี้
- Low Alcohol (มีแอลกอฮอล์ น้อยกว่า 10%)
- Medium Alcohol (มีแอลกอฮอล์ 10-15%)
- High Alcohol (มีแอลกอฮอล์ มากกว่า 10-15%)
5.ความเข้มข้น (Body)
รสชาติหนัก/เบา ของเนื้อไวน์ ขึ้นอยู่กับ 4 ปัจจัยจากหัวข้อด้านบน (Sweetness,Acidity,Tannin,Alcohol) โดยขึ้นอยู่กับปริมาณมากน้อยของส่วนประกอบเหล่านี้ ในการดื่มไวน์จะมีการแยกระดับความเข้มข้นและใช้คำเรียก ดังนี้
- Light body (เนื้อสัมผัสบางเบา)
- Medium body (เนื้อสัมผัสปกติ)
- Full Body (เนื้อสัมผัสหนักแน่น)
สายพันธุ์องุ่น สำหรับบ่มไวน์
ให้รสชาติไวน์ที่แตกต่าง!
สายพันธุ์องุ่น ที่สามารถนำมาทำไวน์ได้มีมากกว่า 100 ชนิด แต่มีไม่กี่สายพันธุ์ที่นิยมนำมาบ่มไวน์กันอย่างแพร่หลาย
- สายพันธุ์องุ่น Cabernet Sauvignon (การ์แบเน โซวีญง)
เป็นสายพันธุ์องุ่นที่มักใช้บ่มไวน์กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก เหมาะสำหรับการทำไวน์แดง จะให้รสชาติที่หวานน้อยแต่มีความเปรี้ยวและความฝาดสูง เนื้อสัมผัสเลยจะไปในทางที่หนักแน่น (full body) สายพันธุ์องุ่นชนิดนี้มักนิยมบ่มในถังไม้โอ๊คเพื่อลดระดับความฝาด จึงทำให้มักมีกลิ่นวนิลลา และไม้ซีด้าจากไม้โอ๊กแทรกเข้ามาด้วย - สายพันธุ์องุ่น Pinot Noir (พิโน นัวร์)
สายพันธุ์องุ่น ‘พิโน นัวร์’ นิยมปลูกในแคว้นเบอร์กันดี ของประเทศฝรั่งเศส ใช้สำหรับการทำไวน์แดง จะให้รสชาติที่หวานและฝาดน้อย แต่มีความเปรี้ยวที่สูงพอสมควร จึงได้เนื้อสัมผัสที่บางเบา (light body) สายพันธุ์องุ่นชนิดนี้มักมีกลิ่นของ สตรอว์เบอร์รี เชอร์รี ราสป์เบอร์รี นิยมบ่มในถังไม้โอ๊ก ไวน์ที่ออกมาจึงได้กลิ่นของวนิลลาและกานพลู - สายพันธุ์องุ่น Chardonnay (ชาดอนเน่)
สายพันธุ์องุ่น ‘ชาดอนเน่’ นิยมนำมาทำไวน์ขาวมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งความพิเศษคือลักษณะรสชาติของสายพันธุ์นี้จะแตกต่าง ไปตามสภาพภูมิอากาศในบริเวณที่มีการเพาะปลูกองุ่น
-สภาพอากาศเย็น ไวน์จะมีรสชาติไม่หวานแต่ให้รสชาติที่เปรี้ยวมาก เนื้อสัมผัสปานกลาง(medium body) มีกลิ่นของ แอปเปิล เลมอน
-สภาพอากาศอบอุ่น ไวน์จะมีรสชาติไม่หวานมาก ความเปรี้ยวปานกลาง และมีเนื้อสัมผัสจะค่อนไปทางปานกลางถึงหนักแน่น มีกลิ่นของผลไม้จำพวกพีช สับปะรด นิยมบ่มในถังไม้โอ๊ก ทำให้มีกลิ่นวานิลาจากไม้โอ๊กเพิ่มเข้ามา - สายพันธุ์องุ่น Pinot Grigio(พิโน กริจิโอ้)
เป็นสายพันธุ์องุ่นที่คนนิยมปลูกกันมากๆ ในประเทศอิตาลี นิยมนำมาทำไวน์ขาวซึ่งให้รสชาติไม่หวานนัก แต่มีเปรี้ยวที่สูง เนื้อสัมผัสที่ได้จะค่อนเบาบาง (light body) มักมีกลิ่นของ พีช และ เลมอน ไม่นิยมบ่มในถังไม้โอ๊ก
วิธีเก็บไวน์ที่กินไม่หมด ถนอมรสชาติไวน์ให้คงเดิม!
การดื่มไวน์ มักทำให้เราได้ดื่มด่ำไปกับรสชาติในมิติต่างๆ แถมยังช่วยสร้างเวลาอันแสนวิเศษให้กับเราได้ ด้วยรสชาติที่ผ่านกรรมวิธีอันแสนประณีต ซึ่งแฟนพันธ์ุแท้นักดื่มไวน์รู้กันดีว่าหลังจากเปิดขวดแล้ว หากมีการเก็บที่ไม่ดีมักมีส่วนทำให้รสชาติไวน์ขวดนั้นผิดเพี้ยนไปจากเดิม มาดูกันว่า วิธีการเก็บไวน์ที่กินไม่หมด ให้ได้คุณภาพและถนอมรสชาติให้ดีเหมือนเดิมต้องทำอย่างไรกันบ้าง
- อุณหภูมิ
อุณหภูมิถือเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างมากสำหรับการเก็บรักษาคุณภาพของไวน์ สิ่งไวน์แต่ละชนิดก็มีอุณหภูมิที่พอเหมาะแตกต่างกันไป ไวน์แดงควรเก็บในอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 15 – 18 องศา ส่วนไวน์ขาวควรเก็บในอุณหภูมิ 6 – 12 องศา และการทำให้อุณหภูมิคงที่ก็เป็นสิ่งสำคัญ - ความชื้น
ความชื้นที่เหมาะสมต่อการเก็บไวน์ที่กินไม่หมด ควรอยู่ที่ประมาณ 50 – 70% อีกทั้งความชื้นยังส่งผลโดยตรงต่อความยืดหยุ่นของจุกคอร์ก หากความชื้นเหมาะสมจะทำให้จุกคอร์กนั้นขยายตัวภายในคอขวดปิดไม่ให้ไวน์ระเหยออกมา หรือถ้าหากความชื้นน้อยเกินก็จะทำให้จุกคอร์กหดตัว อาจทำให้ผงจากจุกคอร์กร่วงไปผสมกับไวน์ภายในขวดได้ ส่งผลให้ไวน์มีรสชาติที่เปลี่ยนไปหรือเสียไวขึ้น - แสงแดด
ไม่ควรเก็บไวน์ในสถานที่โดนแสงแดดโดยตรง เพราะหากพื้นที่เก็บไวน์มีแสงสว่างมากเกินไปจะส่งผลให้รสชาติไวน์ผิดเพี้ยนไปจากเดิมอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจึงควรเก็บไวน์บริเวณที่ไม่มีแสงแดด เช่น ห้องเก็บไวน์หรือตู้แช่ไวน์ที่มีการป้องกันแสง UV - การสั่นสะเทือน
ขวดไวน์ไม่ควรได้รับแรงสั่นสะเทือน เพราะจะทำให้รสชาติไวน์ในขวดเสียรสชาติได้ เพราะฉะนั้นควรเก็บไวน์ไว้ในพื้นที่ห่างไกลจากแรงสั่นจากสิ่งต่างๆ เพื่อช่วยถนอมรสชาติไวน์ให้มีความพิเศษเหมือนเดิมทุกครั้งที่ได้เปิดดื่ม - กลิ่น
กลิ่นเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีส่วนทำร้ายอรรถรสในการดื่มไวน์ เพราะหากเราเก็บไวน์ที่ดื่มไม่หมดไว้ในที่มีกลิ่นอับ อาจส่งผลให้กลิ่นเรานั้นไหลเข้าไปใน ขวดไวน์อาจส่งผลให้กลิ่นหอมกลายเป็นกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ จนทำให้ความสุขในการดื่มไวน์ลดลงไปอย่างแน่นอน - เก็บโดยการนอนขวดลง
วิธีไวน์เก็บไวน์ที่กินไม่หมดอย่างถูกต้อง เราต้องมีการวางขวดโดยให้ด้านข้างลงนอนเสมอ เพื่อให้ไวน์ในขวดมีการกระทบกับจุกฝาก๊อก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ฝาก๊อกแห้งจนเกินไป เพราะจะทำให้มีโอกาสสูงที่อากาศภายนอกจะผ่านเข้ามาทำลายรสชาติไปจนหมด
ตัวช่วยสุดพิเศษ!
สำหรับเก็บไวน์ที่กินไม่หมด
นอกจาก วิธีเก็บไวน์ที่กินไม่หมด ที่ทาง SGE ในแนะนำไปข้างต้น ที่ช่วยให้ไวน์ที่คุณรักมีรสชาติไม่เปลี่ยนแปลง แต่ยังไม่หมดเท่านั้นวันนี้เรามีไอเทมสุดพิเศษ ที่โดนใจนักดื่มหรือนักสะสมไวน์อย่างแน่นอนเพราะจะช่วยให้การเก็บไวน์ของคุณมีประสิทธิภาพสูงและถนอมไวน์ให้อยู่ได้นานที่สุด เราขอแนะนำเป็น ตู้แช่ไวน์ ตู้จ่ายไวน์ รุ่นใหม่ล่าสุด จาก SGE มาพร้อมฟังก์ชันสุดพิเศษ! ที่จะทำให้เก็บไวน์ได้คุณภาพไปอีกขั้น
✓ควบคุมอุณหภูมิ (5 – 20 องศาเซลเซียส) ✓หน้าจอระบบสัมผัส ✓ระบบไฟ LED
✓ชั้นวางวัสดุคุณภาพ ✓ละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ ✓รักษาความสะอาดปลอดสาร CFC ✓ประหยัดพลังงาน
สนใจตู้แช่ไวน์ ตู้จ่ายไวน์
คลิกเลย >> https://www.sgethai.com/wine-cellar/