ชวนมาทำ อาหารว่างไทย อาหารว่าง สูตรโบราณ หลากหลายเมนู อร่อยชัว!
เชื่อว่าหลาย ๆ คนต่างคุ้นเคยกับเมนู อาหารว่าง หลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น อาหารว่าง สไตล์ฝรั่ง เช่น แซนด์วิช พาย หอมทอด หรืออาหารว่างสไตล์จีน เช่น ติ่มซำ จะทำกินเอง หรือหาซื้อก็มีขายทั่วไปตามท้องตลาด แต่ถ้าเป็น อาหารว่างไทย แค่คิดว่าจะหาซื้อก็ยากแล้ว แต่ถ้าทำเองแม้ไม่ง่าย แต่ก็คุ้มค่ากับเวลาและการรอคอย
บทความนี้ SGE ขอนำเสนอวิธีทำ อาหารว่างไทย แบบโบราณ ให้ได้ลองเข้าครัวทำกันดู ตามไปทำกันเลยดีกว่า 😋
อาหารว่าง คืออะไร?
อาหารว่าง คือ อาหารระหว่างมื้อ เป็นอาหารประเภทเบา ๆ มีปริมาณอาหารน้อยกว่า อาหารประจำมื้ออาจจะเป็นอาหารน้ำ หรืออาหารแห้ง มีทั้งคาว และหวาน หรือเป็นอาหารชิ้นเล็ก ๆ ขนาดพอคำ หยิบรับประทานได้ง่าย จัดให้สวยงามน่ารับประทานเป็นทั้งอาหารไทย และอาหารนานาชาติ หรือรับประทานควบคู่กับเครื่องดื่มร้อน หรือน้ำผลไม้อย่างใดอย่างหนึ่ง
- ชนิดของอาหารว่าง อาหารว่าง แบ่งตามรสชาติได้ 2 ชนิด คือ
- อาหารว่างคาว
- อาหารว่างหวาน
- ลักษณะของอาหารว่าง แบ่งตามลักษณะได้ 4 ประเภท คือ
- อาหารว่างที่เป็นอาหารแบบแห้ง ได้แก่ ข้าวตังหน้าตั้ง, ขนมจีบ ซาลาเปา, สาคูไส้หมู, ปั้นสิบนึ่งหรือทอด, คุกกี้ บิสกิต, เค้กต่าง ๆ
- อาหารว่างชนิดน้ำ ได้แก่ ก๋วยเตี๋ยวน้ำ หมู เป็ด ไก่, มะกะโรนีน้ำ, โจ๊กหมู กุ้ง ไก่, เครื่องดื่มร้อน เย็น
- อาหารว่างประเภทกับแกล้ม อาหารประเภทนี้ใช้รับประทานกับเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารประเภทยำ ลาบ พล่าต่าง ๆ ของทอด อาหารขบเคี้ยว
- อาหารว่างแบบค็อกเทล อาหารว่างแบบค็อกเทล ได้แก่ พวกแซนด์วิชต่าง ๆ ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือออร์เดิร์ฟ ชนิดต่าง ๆ ข้าวเกรียบทอด มันทอด ถั่วทอดกับแกล้มที่เป็นชิ้นเล็ก ๆ หยิบง่ายสะดวกแก่การรับประทาน
ประเภทของอาหารว่าง
อาหารว่างแบบไทย และนานาชาติ มีดังนี้
- อาหารว่างไทย (คาว-หวาน) อาหารว่างที่คนไทยรับประทานมีมากมายหลายชนิด ทั้งชนิดน้ำ และชนิดแห้ง ของว่างชนิดน้ำ ไม่นิยมเลี้ยงในตอนบ่าย นิยมอาหารว่างชนิดแห้งเป็นส่วนใหญ่ เช่น ปั้นสิบนึ่งไส้ต่าง ๆ, กระทงทอง, ขนมเบื้องกรอบ, สาคูไส้หมู, เมี่ยงลาว, ของหวาน เช่น ขนมสอดไส้, ตะโก้ เป็นต้น
- อาหารว่างจีน (คาว-หวาน) มีมากเช่นเดียวกัน มีทั้งของว่างชนิดน้ำ เช่น โจ๊ก, ก๋วยเตี๋ยว, เกี๊ยวน้ำ เป็นต้น ส่วนอาหารว่างชนิดแห้ง มักจะเป็นของทอด หรือนึ่ง เช่นขนมเปี๊ยะ, ปอเปี๊ยะสด, ซาลาเปา เป็นต้น
- อาหารว่างสากล นิยมกันมากในการจัดเลี้ยงงานใหญ่ ๆ เพื่อรับรองแขก เพราะจัดได้สวยและน่ารับประทาน อาหารที่รับประทานอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความต้องการ ซึ่งแล้วแต่จะจัดขึ้น อาหารว่างสากลที่นิยมจัดรับประทาน มีดังนี้ ชา, กาแฟ, แซนด์วิช, เค้กต่าง ๆ, เยลลี, ผลไม้ และไอศกรีม
การประกอบอาหารว่างนั้น ไม่จำเป็นจะต้องทำอยู่แต่อย่างเดียวเสมอไป ผู้ประกอบการอาหาร อาจจะต้องดัดแปลง ให้เหมาะสมกับยุคสมัยได้ และความนิยมการนำอาหารแบบต่าง ๆ มาประยุกต์ คือ การนำอาหารว่างไทย จีน ฝรั่ง มาจัดผสมรวมกันในการเลี้ยงรับรองแขก เพื่อให้อาหารมีรสแตกต่างกันออกไป และมีความสวยงามอีกด้วย
แนะนำสูตร อาหารว่างไทย หาทานยาก
ชวนทำอาหารว่างไทย โบราณ สูตรอาหารว่างหากินยาก หน้าตา งดงามประณีตอ่อนช้อย แสดงถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทย เห็นทีวันหยุดต้องลองทำหน่อยแล้ว
1. หมูโสร่ง
ชวนเด็ก ๆ มาทำอาหารว่างไทยโบราณสูตรนี้กัน พบกับเมนูหมูโสร่ง ความพิเศษ คือ หมูสับก้อนกลมถูกพันด้วยเส้นหมี่ รสชาติจะอร่อยแค่ไหนต้องลองทำตามกัน
ส่วนผสม
- หมูสับ 500 กรัม
- หมี่ซั่ว 250 กรัม
- รากผักชี 10 กรัม
- พริกไทยเม็ด 10 กรัม
- กระเทียม 30 กรัม
- ไข่ไก่ 1 ฟอง
- น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
- ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันพืชสำหรับทอด
วิธีทำหมูโสร่ง
- เริ่มจากโขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทยให้ละเอียด นำเครื่องโขลกหมักกับหมูสับ ใส่ไข่ น้ำปลา และซอสปรุงรส คลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ 30 นาที
- นำหมี่ซั่วแช่น้ำ ให้พอเส้นนุ่มแล้ว เทน้ำออกผึ่งให้สะเด็ดน้ำ
- เริ่มจากปั้นหมูสับให้เป็นก้อนพอดีคำ แล้วใช้เส้นหมี่ 4 เส้นค่อย ๆ พันให้รอบหมู เก็บปลายเส้นโดยหาช่องว่างแล้วกดปลายเส้นยัดเข้าไปเลย เมื่อพันเสร็จจะได้หน้าตาแบบนี้ แล้วจึงนำไปทอด
- ตั้งน้ำมันใช้ไฟกลาง พอน้ำมันร้อนนำลงทอด ใช้น้ำมันท่วม ๆ ทอดจนหมูสุกเป็นสีเหลืองทอง ตักเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มไก่ พร้อมทาน
2. กระทงทอง
หน้าตาน่ารักจนอยากทำบ้าง พบกับเมนูกระทงทอง จับแป้งหยอดลงในพิมพ์แล้วทอดจนสุก เสร็จแล้วใส่ไส้หมูสับลงไป หรือใครจะดัดแปลงเป็นกระทงทองไส้ไก่หรือกระทงทองไส้กุ้งก็ตามชอบ
ส่วนผสม
- แป้งสาลีอเนกประสงค์ 65 กรัม
- แป้งข้าวเจ้า 75 กรัม
- เกลือป่นเล็กน้อย
- น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
- ไข่แดง 1 ฟอง
- น้ำปูนใส 85 มิลลิลิตร
- น้ำเปล่า 85 มิลลิลิตร
ส่วนผสมไส้ขนมกระทงทอง
- หอมแดงสับ
- น้ำมันพืชเล็กน้อย
- หมูสับ
- ข้าวโพดต้ม ฝานเป็นเม็ด
- มะพร้าวขาวขูด 2 ทัพพี
- น้ำตาลปี๊บ
- น้ำปลา
- น้ำตาลทราย
- สับปะรดสับ
- พริกชี้ฟ้าแดงซอย
- ผักชี
- พิมพ์สำหรับทำกระทงทอง
วิธีทำ
- ทำน้ำปูนใส โดยเติมน้ำลงไปในปูนแดง สำหรับเคี้ยวหมาก คนให้ขุ่น ๆ แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้ตกตะกอน จากนั้น ช้อนเอาแต่น้ำด้านบนมากรองอีกรอบ เตรียมไว้
- ใส่แป้งสาลีอเนกประสงค์ แป้งข้าวเจ้า เกลือเล็กน้อย น้ำตาลทราย และไข่แดง ลงในอ่างผสม
- ผสมน้ำเปล่ากับน้ำปูนใสเข้าด้วยกัน จากนั้นค่อย ๆ เทลงในส่วนผสมแป้ง คนผสมให้เข้ากันจนแป้งเนียน และเหนียว พักไว้ หากยังไม่เหนียวให้เพิ่มแป้งข้าวเจ้าลงไปอีกเล็กน้อยได้ ให้ความข้นลักษณะคล้ายกาวลาเท็กซ์
- ผัดหอมแดงสับ กับน้ำมันพืชเล็กน้อยพอหอม ใส่หมูสับ ข้าวโพด และมะพร้าวขูดลงไปผัด
- ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ ใส่ลงไปประมาณค่อนทัพพี น้ำปลา และพริกไทยเล็กน้อย ผัดให้เข้ากัน
- ใส่สับปะรดสับลงไปผัด สับปะรดควรหาเอาแบบเปรี้ยว ๆ จะดี ผัดจนแห้ง ตักใส่ภาชนะแล้วนำไปแช่ตู้เย็นสักครู่
- ใส่น้ำมันลงในหม้อ หรือกระทะสำหรับทอด จากนั้น นำพิมพ์ขนมใส่ลงไปอุ่นในน้ำมันพืชจนร้อน นำพิมพ์ขนมขึ้นมาซับน้ำมันบนกระดาษทิชชู จุ่มก้นพิมพ์ขนม ที่ซับน้ำมันออกแล้ว ลงในส่วนผสมแป้งจนเกือบมิดพิมพ์ ต้องดูด้วยว่าแป้งติดก้นพิมพ์ไหม หากไม่ติด หรือติดมาน้อยแสดงว่าแป้งยังไม่เหนียวพอ ให้เพิ่มแป้งข้าวเจ้าอีกจนส่วนผสมข้นเหนียว และติดพิมพ์
- จากนั้นรีบจุ่มพิมพ์ลงน้ำมันทันที เพราะหากชักช้าแป้งก็จะหลุดลงไปเรื่อย ๆ ทำให้ไม่เป็นรูปทรงกระทง
- ทอดจนแป้งเหลืองสวย ยกขึ้นจากน้ำมัน แกะออกจากพิมพ์ หากแซะออกจากพิมพ์ยาก ลองใช้ไม้จิ้มฟันเข้าช่วยแซะ ก็จะหลุดออก ซับน้ำมัน พักทิ้งไว้ให้เย็น
- ตักไส้ใส่กระทง โรยพริกชี้ฟ้าแดง สับปะรดเปรี้ยว และผักชี พร้อมเสิร์ฟ
3. ช่อม่วง
ช่อม่วง มีทั้งวิธีทำแป้งขนมช่อม่วง และไส้ช่อม่วง รวมถึงวิธีทำดอกช่อม่วงขั้นเทพ ไปหาซื้อแหนบทองเหลืองรอเลยดีกว่า
ส่วนผสมไส้ช่อม่วง
- น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
- หมูสามชั้นต้มสุก หั่นสี่เหลี่ยมชิ้นเล็ก 1/4 ถ้วย
- ฟักเชื่อมแห้ง หั่นสี่เหลี่ยมชิ้นเล็ก 150 กรัม
- เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
- น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
- งาขาวคั่ว 50 กรัม
- ถั่วลิสงคั่ว 50 กรัม
ส่วนผสมแป้งช่อม่วง
- แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
- แป้งเท้ายายม่อม 1/2ช้อนโต๊ะ
- แป้งมันสำปะหลัง 1/2ช้อนโต๊ะ
- น้ำลอยดอกมะลิ 1 ถ้วย
- ดอกอัญชัน 10 ดอก
- แป้งมันสำปะหลัง เล็กน้อย
- ผักกาดหอม
- กระเทียมเจียว
- พริกขี้หนูสวน
วิธีทำไส้ขนมช่อม่วง
- ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชลงไป เอาหมูสามชั้นที่หั่นไว้ลงไปผัด ใช้ไฟปานกลาง รอจนน้ำมันหมูออกมา และหมูเริ่มสุกสีเหลือง
- ใส่ฟักเชื่อมลงไปผัดใช้ไฟอ่อน ปรุงรสด้วยเกลือ และน้ำตาลทราย ใส่งาขาว และถั่วลิสงลงไป ผัดให้เข้ากันดีจนแห้ง ตักใส่ชาม เตรียมไว้
วิธีทำแป้งขนมช่อม่วง
- ร่อนแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งเท้ายายม่อมเข้าด้วยกัน 2-3 รอบจนเนียนละเอียด
- ใส่น้ำมันพืชลงไป ค่อย ๆ เติมน้ำเปล่าและน้ำดอกมะลิลงไปจนหมด ใช้มือขยำคนนวดส่วนผสมแป้งให้ละเอียดเข้ากัน แบ่งส่วนผสมแป้งเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน
- คั้นน้ำดอกอัญชัน แล้วบีบน้ำมะนาวลงไป เทใส่ลงในส่วนผสมแป้ง 1 ถ้วยคลุกเคล้าให้เข้ากัน
- ใส่ส่วนผสมแป้งลงในกระทะทองเหลือง ใช้ไฟกลางค่อนข้างอ่อน ใช้ไม้พายกวนไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมร่อนจากกระทะ ประมาณ 5-10 นาที ตักใส่ภาชนะ พักไว้จนแป้งเริ่มอุ่น
- โรยแป้งนวลลงไปเล็กน้อย แล้วลงมือนวดแป้งให้เนียนแล้วคลุมด้วยผ้าขาวบางหมาด ๆ เพื่อไม่ให้แป้งแห้ง
วิธีทำดอกช่อม่วง
- เริ่มทำดอกช่อม่วงโดยปั้นแป้งให้เป็นก้อนกลม ๆ ประมาณ 3/4 นิ้ว แล้วแผ่แป้งให้เป็นแผ่นบาง ๆ กะพอให้หุ้มไส้ได้จนมิด ตักไส้ที่ผัดไว้ใส่ลงไปแล้วห่อจากมุมเข้าหากัน จากนั้น ใช้มือคลึงให้แป้งหุ้มไส้จนมิด ทำจนหมด เตรียมไว้
- เริ่มทำจีบโดยเอาทาแป้งข้าวเจ้าที่ปลายแหนบทองเหลืองเล็กน้อย เริ่มจับจีบชั้นที่ 1 โดยจับจากกึ่งกลางของขนม จับจีบวนไปเรื่อย ๆ จนครบรอบ
- เริ่มชั้นที่ 2 โดยจับจีบให้เอียงจากชั้นแรกเล็กน้อย ประมาณ 45 องศา และสับหว่างกันกับชั้นแรก จับจีบจนครบรอบ
- เริ่มจับจีบชั้นที่ 3 ประมาณ 2-3 จีบ และสับหว่างกันกับกลีบชั้นที่ 2
- นำไปเรียงบนใบตองที่ทาน้ำมันแล้วในชุดนึ่ง โดยวางเรียงห่างกันเล็กน้อยเวลาสุกจะได้ไม่ติดกัน
- ตั้งชุดนึ่งใช้ไฟแรง รอจนน้ำเดือดจัด จึงนำขนมไปนึ่งนานประมาณ 5 นาที
- พอสุก แล้วนำช้อนจุ่มน้ำมันพืชตักช่อม่วงใส่จาน เสิร์ฟคู่กับผักกาดหอม และพริกขี้หนูสวน
4. ขนมจีบนกไทย
เอาใจคนพิเศษด้วยการทำเมนูขนมจีบนกไทย สูตรจาก คุณหอมกาแฟ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม จับแป้งขนมจีบสีตามชอบ ห่อไส้กุ้งแล้วปั้นเป็นรูปนกน่ารัก ๆ แกล้มกับผักสด
ส่วนผสมไส้ขนมจีบ
- รากผักชี 4-5 ราก
- กระเทียม 3 กลีบ
- พริกไทย
- หอมใหญ่ สับละเอียด 1 หัว
- เนื้อกุ้งสับละเอียด 400-500 กรัม
- น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
- เกลือ 1 ช้อนชา
- ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ
ส่วนผสมแป้งขนมจีบ
- แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
- แป้งมันสำปะหลัง 2 ช้อนโต๊ะ
- แป้งเท้ายายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ
- หัวกะทิ 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำเปล่า 1 ถ้วย
- แป้งมันสำปะหลังสำหรับโรย
- สีผสมอาหารสีเหลือง, สีชมพู, สีฟ้า และสีม่วง
- แครอท
- งาดำ
- น้ำมันกระเทียมเจียว
- ผักกาดหอม
- ผักชี
- พริกชี้ฟ้าแดง
วิธีทำไส้ขนมจีบ
- โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทยเข้าด้วยกัน เตรียมไว้
- ตั้งกระทะแล้วใส่น้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย พอร้อนใส่เครื่องที่โขลกไว้ลงไปผัดให้หอม ใส่หอมใหญ่สับลงไปผัดจนนิ่ม ใส่เนื้อกุ้งสับลงไปผัดให้สุกเล็กน้อย ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ ตามด้วยน้ำตาลทราย และเกลือ
- ผัดผสมให้เข้ากันจนเริ่มงวด ใส่ถั่วลิสงคั่วบดลงไป ผัดให้เข้ากันจนแห้งจนสามารถปั้นเป็นก้อนได้ ตักใส่จาน พักทิ้งไว้จนเย็น
- หั่นแครอตเป็นสามเหลี่ยมสำหรับทำเป็นปากนก และเตรียมงาดำสำหรับทำเป็นตาเอาไว้
- พอส่วนผสมไส้เย็นแล้ว นำมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดพอดีคำ เตรียมไว้
วิธีทำแป้งขนมจีบ
- ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งเท้ายายม่อมเข้าด้วยกันในอ่างผสม ใส่หัวกะทิลงไปนวดผสมด้วยมือ เติมน้ำเปล่าลงไปนวดจนแป้งละลาย และไม่เป็นเม็ด
- เทกรองผ่านผ้าขาวบาง แล้วเทลงกวนในกระทะทองใช้ไฟอ่อน กวนจนแป้งล่อนออกจากกระทะ นำมานวดโดยโรยแป้งมันสำปะหลังลงไปเล็กน้อยเพื่อกันติดด้วย ใช้ตัวช่วยนวดแป้งป้องกันมือพอง พอแป้งอุ่นแล้วก็ใช้มือนวดแป้งตามปกติ
- แบ่งส่วนผสมแป้งเป็น 4 ส่วนแล้วนวดผสมกับสีผสมอาหารทั้ง 4 สี ผสมสีกับแป้งนิดเดียวพอ สีจะได้ออกมาแบบธรรมชาติ ห่อแป้งแต่ละสีด้วยพลาสติกถนอมอาหาร จากนั้น ตัดแป้งแต่ละสีเป็นก้อน ๆ ขนาดให้ใหญ่กว่าไส้นิดหนึ่ง
- ปั้นแป้งเป็นก้อนกลม ๆ แล้วขึ้นรูปให้คล้ายผลชมพู่ กดก้นให้เป็นเบ้าลึก พอให้ใส่ไส้ได้ นำไส้ใส่ลงไปในหลุมแป้งแล้วห่อปิดแป้งให้มิด จากนั้นทำรูปร่างให้เป็นนก ใส่ปากทำจากแครอต ติดตาจากงาดำ เตรียมไว้
- ใช้แหนบบีบเพื่อทำจีบที่ตัวขนมให้มีลักษณะคล้ายปีกนกให้สวยงาม ใส่ขนมจีบลงในชุดนึ่งที่รองใบตองไว้ พรมน้ำลงไป จากนั้น ปิดฝานึ่งด้วยไฟแรง นาน 5 นาที
- เมื่อครบ 5 นาทีให้พรมน้ำอีกครั้ง จากนั้น ทาน้ำมันกระเทียมเจียวให้ทั่วขนม จัดใส่จาน เสิร์ฟพร้อมผักกาดหอม ผักชี และพริกชี้ฟ้าแดง
5. เมี่ยงกลีบบัว (เมี่ยงคำกลีบบัว)
เมี่ยงคำใบชะพลูคงต้องชิดซ้ายให้กับเมนูเมี่ยงกลีบบัว อาหารว่างไทยโบราณ จับกลีบบัวห่อไส้เมี่ยงคำ และราดน้ำจิ้มเมี่ยงคำ
ส่วนผสมเมี่ยงคำกลีบบัว
- กลีบบัวหลวง
- ขิง
- หอมแดง
- มะนาวหั่นชิ้นเล็ก
- ถั่วลิสงคั่ว
- กุ้งแห้ง
- พริกขี้หนูสวน
ส่วนผสมน้ำจิ้มเมี่ยงคำ
- น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย
- น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
- น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำสะอาด 1/2 ถ้วย
- กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
- รากผักชี 1 ช้อนชา
- ข่าคั่วโขลก 1 ช้อนชา
วิธีทำน้ำจิ้มเมี่ยงคำ
- นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ในหม้อแล้วเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนเข้มข้น
เคล็ดลับ : วิธีการเคี่ยวน้ำตาลปี๊บให้เข้มข้นแบบไม่เปลืองแก๊ส คือให้เปิดไฟแรง ๆ แล้วใช้ทัพพีคนน้ำตาลให้เดือดขึ้น ๆ ลง ๆ แบบเร่งไฟ ลดไฟ ไปเรื่อย ๆ แป๊บเดียวก็ได้น้ำตาลปี๊บแบบเหนียวเข้มข้นโดยไม่ต้องเคี่ยวนานเป็นชั่วโมง และที่สำคัญไม่เปลืองแก๊สด้วย
วิธีทำเมี่ยงคำกลีบบัว
- เตรียมเครื่องเคียงให้พร้อม ได้แก่ ขิง หอมแดง มะนาว ถั่วลิสงคั่ว กุ้งแห้ง และพริกขี้หนูสวน
- นำกลีบบัวหลวงไปล้างทำความสะอาด โดยเอาน้ำสะอาดใส่กะละมัง ใส่เกลือป่นไปสัก 1 ช้อนชา แล้วล้างทีละกลีบ ล้างเสร็จแล้วสะบัดน้ำออกให้หมด หรือใส่กระชอนแล้วแกว่ง ๆ ให้สะเด็ดน้ำ
- หั่นเครื่องเคียงให้เรียบร้อย จัดน้ำจิ้มเมี่ยงคำใส่ถ้วยแก้ว และจัดวางเมี่ยงกลีบบัวบนช้อนกระเบื้อง พร้อมเสิร์ฟ
อ่านบทความ: สูตร เมี่ยงคำ อาหารว่างเพื่อสุขภาพ น้ำจิ้มอร่อย ได้ประโยชน์เต็มๆ
อาหารว่างไทยนั้น อาจจะดูทำยากสักนิดนึง แต่รับรองได้ลงมือทำแล้วจะไม่ผิดหวัง อยากชวนเพื่อน ๆ มาทำอาหารว่างไทยโบราณ ทุกเมนูแม้ต้องใช้ความพิถีพิถันหน่อย แต่เชื่อว่าคงไม่เกินความสามารถของใครหลาย ๆ คนอย่างแน่นอน และถือเป็นการอนุรักษ์สานต่อวัฒนธรรมอาหารที่ดีงามของไทยสืบต่อไปอีกด้วยด้วย เผลอ ๆ ทำขายได้ด้วยนะ 😋💕
30 มกราคม 2024
โดย
ลำดวน