“ธาตุอาหารพืช” ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต มีอะไรบ้าง?
พืช เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการธาตุอาหาร เพื่อใช้ในกระบวนการเจริญเติบ และกิจกรรมต่าง ๆ ภายในเซลล์ เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และรู้ไหมว่า “ธาตุอาหารพืช” นั้น คืออะไร? มีอะไรบ้าง? ตาม SGE ไปทำความรู้จักธาตุอาหารพืช ให้มากขึ้นกัน
ธาตุอาหารพืช (Plant Nutrients) คือ?
ธาตุเคมี (Chemical Elements) ในธรรมชาติที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยธาตุอาหารของพืช ประกอบด้วยธาตุทั้งหมด 17 ธาตุ โดยมีเพียง คาร์บอน (C) ออกซิเจน (O) และไฮโดรเจน (H) เท่านั้น ที่พืชสามารถดึงมาใช้จากน้ำ และอากาศ
ในขณะที่อีก 14 ธาตุ ได้แก่ ไนโตรเจน (N), ฟอสฟอรัส (P), โพแทสเซียม (K), แคลเซียม (Ca), แมกนีเซียม (Mg), กำมะถัน (S), เหล็ก (Fe), แมงกานีส (Mn), โบรอน (B), โมลิบดีนัม (Mo), ทองแดง (Cu), สังกะสี (Zn), คลอรีน (Cl) และนิกเกิล (Ni) นับเป็นธาตุอาหารที่พืชส่วนใหญ่ดูดซับมาจากดิน ซึ่งเป็นแหล่งสะสมหลักในธรรมชาติ
การจำแนกธาตุอาหารพืช ทำได้อย่างไร?
ธาตุอาหารพืชนั้น สามารถจำแนกเป็น 2 กลุ่มหลัก ตามปริมาณความต้องการของพืช คือ
-
มหาธาตุ (Macronutrients)
คือ ธาตุอาหารทั้ง 9 ที่พืชต้องการในปริมาณมาก เพื่อนำมาใช้ในการเจริญเติบโต โดยมหาธาตุ สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้
- ธาตุอาหารหลักจากน้ำ และอากาศ ได้แก่ คาร์บอน (C), ออกซิเจน (O) และไฮโดรเจน (H)
- ธาตุอาหารหลักในดิน ได้แก่ ไนโตรเจน (N), ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) ซึ่งเป็นธาตุอาหารหลัก ที่พืชต้องการในปริมาณมาก ดังนั้น ในดินธรรมชาติ ธาตุทั้ง 3 มักมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช ส่งผลให้ในการผลิตปุ๋ยชนิดต่าง ๆ เพื่อการเกษตร มีธาตุทั้ง 3 เป็นแกนหลักในการเร่งผลผลิต และส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช
- ธาตุอาหารรองในดิน ได้แก่ แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) และกำมะถัน (S) ซึ่งเป็นธาตุอาหารที่พืชต้องการรองลงมาจากธาตุอาหารหลัก โดยทั่วไป ธาตุเหล่านี้ในดินธรรมชาติมักมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของพืช
-
จุลธาตุ (Micronutrients)
คือ ธาตุอาหารเสริม หรือธาตุอาหารที่พืชต้องการนำมาใช้ในปริมาณไม่มากนัก โดยในดิน มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 8 ธาตุ ได้แก่ เหล็ก (Fe), แมงกานีส (Mn), โบรอน (B), โมลิบดีนัม (Mo), ทองแดง (Cu), สังกะสี (Zn), คลอรีน (Cl) และนิกเกิล (Ni)
สำหรับพืช ธาตุอาหารทุกธาตุ ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มของ ธาตุอาหารหลัก หรือธาตุอาหารรอง ต่างมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชไม่ต่างกัน มีเพียงแต่ความต้องการทางด้านปริมาณเท่านั้น ที่ทำให้เกิดการแบ่งธาตุอาหารเหล่านี้ออกเป็นกลุ่มย่อย เพื่อง่ายต่อการศึกษา และทำความเข้าใจ ดังนั้น ธาตุอาหารทั้งหมด ต่างจำเป็นการดำรงชีวิต การผลิดอกออกผล และการเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรงของพืชนั่นเอง
หน้าที่ของธาตุอาหารพืช เป็นอย่างไร?
ธาตุอาหารพืชแต่ละธาตุ ต่างมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชในด้านต่าง ๆ และเมื่อพืชได้รับธาตุอาหารไม่เพียงพอ มักปรากฏอาการ หรือร่องรอยของความเจ็บป่วยจากการขาดแคลนธาตุอาหารที่จำเป็น เช่น
1. กลุ่มธาตุอาหารหลัก
- ไนโตรเจน (N) คือ ธาตุที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยเฉพาะในการสร้างกรดอะมิโน (Amino Acids) กรดนิวคลีอิก (Nucleic Acids) โปรตีน และฮอร์โมนชนิดต่าง ๆ รวมไปถึงการมีความเกี่ยวพันโดยตรงต่อกระบวนการสังเคราะห์แสง ซึ่งไนโตรเจน เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ที่ทำให้พืชมีสีเขียว
สภาวะขาดแคลน: สีของใบเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ขนาดของใบเล็กลง ลำต้นแคระแกร็น และมีผลผลิตต่ำ
- ฟอสฟอรัส (P) คือ ธาตุอาหารที่กระตุ้น และเร่งการเจริญเติบโตของรากพืช เป็นธาตุที่ส่งผลต่อการควบคุมการออกดอก ออกผล และการสร้างเมล็ด อีกทั้ง ยังมีความสำคัญต่อกระบวนการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสังเคราะห์แสง การกักเก็บ ถ่ายโอนพลังงาน และกระบวนการหายใจของพืช
สภาวะขาดแคลน: ระบบรากของพืช ไม่สามารถเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ ใบแก่ จะมีการเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีม่วง แล้วกลายเป็นสีน้ำตาล และหลุดร่วง ลำต้นแคระแกร็น และไม่ผลิดอกออกผล
- โพแทสเซียม (K) คือ ธาตุอาหารที่มีส่วนช่วยในการสังเคราะห์น้ำตาล แป้ง และโปรตีน ส่งเสริมกระบวนการเคลื่อนย้ายน้ำตาล แป้ง และน้ำมัน รวมถึงประสิทธิภาพการใช้น้ำของพืช และการให้ผลผลิต อีกทั้ง ยังช่วยส่งเสริมพืชในการต้านทานโรคและแมลงบางชนิด
สภาวะขาดแคลน: ลำต้นไม่แข็งแรง การเจริญของดอก และผลไม่สมบูรณ์ ผลผลิตมีคุณภาพต่ำ โดยเฉพาะผลผลิตที่เน้นด้านรสชาติและสีสัน
2. กลุ่มธาตุอาหารรอง
- แคลเซียม (Ca) คือ ธาตุอาหารที่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งมีส่วนช่วยในการแบ่งเซลล์ การผสมเกสร การงอกของเมล็ด การเจริญของใบ และราก
สภาวะขาดแคลน: มีการเจริญของใบใหม่ที่ไม่สมบูรณ์ ตายอดไม่เจริญ อาจมีจุดดำที่เส้นใบ รากสั้น และให้ผลผลิตคุณภาพต่ำ
- แมกนีเซียม (Mg) คือ ธาตุที่องค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ ช่วยสังเคราะห์กรดอะมิโน วิตามิน ไขมัน และน้ำตาล ทำให้สภาพกรดด่างในเซลล์เหมาะสม และช่วยส่งเสริมในการงอกของเมล็ด นอกจากนี้ แมกนีเซียมยังมีส่วนส่งเสริมการดูดซึม และนำการฟอสฟอรัสมาใช้ประโยชน์อีกด้วย
สภาวะขาดแคลน: มีการเจริญของใบไม่สมบูรณ์ ใบแก่จะเปลี่ยนสี และร่วงโรยในเวลาอันรวดเร็ว
- กำมะถัน (S) คือ ธาตุที่องค์ประกอบสำคัญของกรดอะมิโน โปรตีน และวิตามินในพืช มีส่วนในการสร้างคลอโรฟิลล์ และการผลิตเมล็ด นอกจากนี้ กำมะถันยังเป็นองค์ประกอบของสารระเหย ที่สร้างกลิ่นเฉพาะตัวในพืชบางชนิดอีกด้วย
สภาวะขาดแคลน: มีการเจริญของใบ และลำต้นไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้ลำต้นอ่อนแอ
อ่านบทความ: ธาตุอาหารรอง มีกี่ชนิด ช่วยให้พืชเจริญเติบโตอย่างไร?
3. กลุ่มธาตุอาหารเสริม
- โบรอน (B) คือ ธาตุที่ทำหน้าที่ช่วยให้พืช สามารถดูดซึมแคลเซียม และไนโตรเจนได้ดียิ่งขึ้น มีส่วนช่วยในการออกดอก และการผสมเกสรของพืช นอกจากนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนย้ายน้ำตาลมาสู่ผล การเคลื่อนย้ายฮอร์โมน และการแบ่งเซลล์ของพืชอีกด้วย
สภาวะขาดแคลน: มีการเจริญของตายอด การแตกกิ่งและการออกผลไม่สมบูรณ์ ลำต้นแคระแกร็น ลักษณะของใบจะอ่อนและบางลง
- ทองแดง (Cu) คือ หนึ่งในธาตุที่มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างคลอโรฟิลล์ เป็นหนึ่งในตัวเร่งปฏิกิริยา หรือตัวกระตุ้นในกระบวนการต่าง ๆ ของพืช เช่น กระบวนการหายใจ การทำงานของเอนไซม์ การสร้างอาหารและกระบวนการสืบพันธุ์ ซึ่งส่งผลต่อการผลิดอกออกผลของพืช
สภาวะขาดแคลน: มีการเจริญของตายอดและลำต้นไม่สมบูรณ์ มีการเปลี่ยนสีของใบอ่อนเป็นสีเหลือง เส้นใบเปลี่ยนสีเป็นสีชมพูขาวจาง ลักษณะใบเหี่ยวเฉาและร่วงโรยได้ง่าย
- เหล็ก (Fe) คือ หนึ่งในธาตุที่เป็นองค์ประกอบของโปรตีน ซึ่งมีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์แสง และการผลิตอาหารของพืช มีบทบาทในการกระตุ้นกระบวนการหายใจ และการเจริญเติบโตให้เป็นไปอย่างสมบูรณ์
สภาวะขาดแคลน: ใบอ่อนมีสีขาว หรือเหลืองซีด ในขณะที่ใบที่เจริญแล้ว ไม่แสดงอาการเจ็บป่วย
- แมงกานีส (Mn) คือ ธาตุอาหารที่มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์แสง และการทำงานของเอนไซม์ มีผลต่อการเจริญของใบ ดอก และการออกผล นอกจากนี้ แมงกานีส ยังมีบทบาทในการควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการนำธาตุเหล็ก และไนโตรเจนมาใช้ประโยชน์อีกด้วย
สภาวะขาดแคลน: ใบอ่อนของพืช จะมีสีเหลืองและสีอ่อนจาง ในขณะที่เส้นใบยังคงมีเขียวสด ซึ่งส่งผลต่อการเหี่ยวเฉา และร่วงโรยของใบพืชในเวลาต่อมา
- โมลิบดินัม (Mo) คือ ธาตุอาหารที่ มีส่วนช่วยแบคทีเรีย และจุลินทรีย์ในดินสำหรับการตรึงไนโตรเจนจากอากาศ ซึ่งส่งผลต่อการสังเคราะห์โปรตีนและการทำงานของไนโตรเจนในพืช อีกทั้ง ยังมีบทบาทในการสร้างคลอโรฟิลล์ และการเปลี่ยนรูปของสารประกอบฟอสฟอรัสอีกด้วย
สภาวะขาดแคลน: ใบของพืช จะมีลักษณะโค้งงอ หรือม้วนลง มีสีเหลืองส้ม และสีอ่อนจาง มีจุดประขึ้นตามแผ่นใบ มีดอก และผลแคระแกร็น จากการเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์
วิธีแก้เมื่อดินขาดธาตุอาหาร ทำได้อย่างไร?
เมื่อทำการเพาะปลูกพืชลงบนผืนดิน ปริมาณของธาตุอาหารต่าง ๆ ในดินย่อมมีอัตราเปลี่ยนแปลงไปตามการดูดซึม และการนำไปใช้ประโยชน์ของพืช ซึ่งธาตุอาหารเหล่านี้ บางส่วนถูกนำไปใช้เพื่อการเจริญเติบโต บางส่วนถูกเก็บสะสมไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ใบ ลำต้น ผล หรือ ดอก ดังนั้น เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว พร้อมกับผลผลิตที่ถูกนำออกไปจากพื้นที่ ธาตุอาหารที่เคยสะสมอยู่ในผืนดินเหล่านี้ ต่างถูกนำออกไปจากพื้นที่อย่างถาวรเช่นเดียวกัน
วิธีแก้ คือ เพิ่มอินทรีย์วัตถุ และปุ๋ยคอก ลงปรุงดินก่อนปลูกในแต่ละรอบ และฉีดพ่นปุ๋ยอินทรีย์น้ำทางใบพืช เพื่อช่วยในการเจริญเติบโต สำหรับการทำเกษตรอินทรีย์แล้ว ธาตุอาหารเหล่านี้มีอยู่อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พืชตระกูลถั่ว ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยพืชสด น้ำหมักชีวภาพ น้ำหมักจากปลา มูลไส้เดือน เศษวัตถุอินทรีย์ที่หาได้ตามท้องถิ่น ซึ่งมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน แม้ว่าธาตุอาหารเหล่านี้ จะมีอยู่ในดิน แต่ถ้าไม่มีการเพิ่มเติมธาตุอาหารลงดิน หรือบำรุงดิน ก็จะทำให้พืชเราปลูกขาดธาตุอาหารที่จำเป็นเหล่านี้ได้
นอกจากนี้ อาจจะมีธาตุอาหารบางส่วน ที่สามารถสูญสลายไปตามการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ เช่น การเปลี่ยนสถานะของสสารที่เปลี่ยนธาตุอาหารบางชนิดในดินให้อยู่ในรูปของก๊าซ ส่งผลให้ดินเกิดการสูญเสียธาตุอาหารดังกล่าว รวมไปถึงการถูกชะล้างไปพร้อมกับน้ำฝน และการพังทลายของหน้าดิน ดังนั้น การเพาะปลูกพืชติดต่อกันเป็นเวลานาน ดังนั้น ควรปรับปรุงบำรุงดินหลังการเพาะปลูกในแต่ละรอบ เพื่อเพิ่มเติมธาตุอาหารที่จำเป็นลงไปในดิน และฉีดพ่นปุ๋ยน้ำทางใบ เพื่อช่วยให้พืชได้รับสารอาหารโดยตรง และเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพื่อช่วยเพิ่มเติมธาตุอาหารพืช และคงความอุดมสมบูรณ์ของดินให้พืช สามารถเจริญเติบโตงอกงามอย่างสมบูรณ์นั่นเอง
เป็นอย่างไรกันบ้างกับธาตุอาหารพืช ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ หวังว่าผู้อ่านคงจะได้รับสาระ และความรู้ไม่มากก็น้อย นอกจากนี้ หลาย ๆ คนคงอยากจะเพิ่มธาตุอาหารให้พืช เราขอแนะนำ ถังหมักปุ๋ย ถังเดียวจบ ช่วยให้การผสมปุ๋ย หมักปุ๋ยของคุณเป็นเรื่องง่าย เมื่อเวลาในการหมัก ผ่านไป 4-6 สัปดาห์ เราจะได้ปุ๋ยหมักชั้นดีมาใช้ทันที
บทความดี ๆ น่าอ่าน:
- How to เตรียม ดินปลูกต้นไม้ ได้ดินคุณภาพ พืชโตไว
- รู้จัก ขยะอินทรีย์ คืออะไร นำมาทำอะไรได้บ้าง?
- วิธีทำปุ๋ยหมัก แบบง่ายๆ เปลี่ยนขยะให้มีประโยชน์!
- รู้จัก ปุ๋ยเกล็ด คือ? การนำไปใช้งานเป็นอย่างไร?
- ชวนมาทำ ปุ๋ยพืชสด ช่วยบำรุงดินก่อนการปลูก มีประโยชน์อะไรบ้าง?
- มูลไส้เดือน ประโยชน์ พร้อมวิธีทำ ปุ๋ยมูลไส้เดือน ง่าย ๆ ที่บ้าน
- วัสดุคลุมดิน มีอะไรบ้าง มีข้อดี – ข้อเสีย แตกต่างกันอย่างไร
ข้อมูลอ้างอิง
- กรมพัฒนาที่ดิน – http://osl101.ldd.go.th/easysoils/s_prop_nutri01.htm
- NSW Department of Industry – https://www.dpi.nsw.gov.au/agriculture/soils/improvement/plant-nutrients
- Afrane Okese – https://blog.agrihomegh.com/essential-plant-nutrients/
30 มกราคม 2024
โดย
ลำดวน