มัดรวม 6 ต้นไม้บังแดด ปลูกในกระถางได้ เอาใจสายเขียวพื้นที่จำกัด
การปลูก ต้นไม้บังแดด มีประโยชน์หลายทางทั้งให้ความร่มรื่น ลดความร้อน ผ่อนคลาย ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์อีกด้วย นอกจากได้เห็นการเจริญเติบโตของเหล่าพันธุ์ไม้นานาชนิด แล้วเรายังได้รับอากาศบริสุทธิ์จากต้นไม่ฟอกอากาศเหล่านี้อีกด้วย ที่แน่ๆไม่ต้องเปิดแอร์ให้เปลืองค่าไฟด้วยล่ะ เราไปดูกันสิว่ามีต้นอะไรบ้าง
ต้นไทรใบสัก
ต้นไทรใบสักนั้นเป็น ต้นไม้บังแดด ชั้นดี สามารถปลูกในดินหรือจะปลูกในกระถางก็ได้ และสามารถวางได้ทุกจุดทุกมุม แต่ต้องเป็นที่ที่ให้แสงแดดอย่างเพียงพอ โดยต้องได้รับแสงแดดประมาณ 3-5 ชั่วโมงต่อวันถึงจะเพียงพอ อาจจะปลูกไว้ในกระถางแล้ววางไว้ในห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือห้องทำงานก็ได้ แต่ต้องเป็นที่ที่ทำให้ต้นไม้ได้รับแสงแดดด้วย นอกจากนี้ต้นไทรใบสักจะช่วยฟอกอากาศและดูดสารพิษในพื้นที่บริเวณที่เราตั้งไว้ด้วย ดังนั้นจึงควรวางต้นไว้ให้อยู่ในจุดที่เราใช้งานในพื้นที่บริเวณนั้นบ่อย ๆ
ประโยชน์ของต้นไทรใบสัก
- ต้นไทรใบสักช่วยในเรื่องของการดูดสารพิษและฟอกอากาศให้สะอาดขึ้นอีกด้วย ทำให้บริเวณที่เราปลูกต้นไทรใบสักเอาไว้นั้นมีอากาศที่บริสุทธิ์ ทำให้สดชื่นมากขึ้น
- ต้นไทรใบสักสามารถปลูกเป็นไม้ประดับให้ดูสวยงามได้ เพราะต้นไทรใบสักนั้นเมื่อมองเผิน ๆ จะเหมือนกับต้นไม้ประดิษฐ์ โดยสามารถปลูกไว้เพื่อประดับให้บ้านดูสวยงามมากยิ่งขึ้น
- ต้นไทรใบสักเป็นหนึ่งในไม้มงคลที่ใครหลายคนนิยมปลูกไว้ในบ้าน เพราะมีความเชื่อว่าถ้าปลูกไว้ภายในบริเวณบ้านจะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคล และยังช่วยเสริมฮวงจุ้ยให้กับบ้านได้อีกด้วย
ต้นยางอินเดีย
ยางอินเดีย ( Rubber Plant หรือ India Rubber Fig ) ไม้ประดับใบสวยที่ให้ความรู้สึกสง่างาม เรียบหรูดูผู้ดี มีความโดดเด่น บ่งบอกถึงความมีรสนิยมของผู้ปลูกได้เป็นอย่างดี ความงามที่ดูเลอค่านี้มีแหล่งกำเนิดมาจากประเทศอินเดียและประเทศมาเลเซีย เนื่องจากเป็นพืชที่เติบโตในพื้นที่เขตร้อนจึงสามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศแบบบ้านเราส่งผลให้วิธีดูแลต้นไม้ทำได้ง่ายขึ้นด้วย โดยต้นที่โตเต็มที่สามารถสูงได้ถึง 15-25 เมตร มีลักษณะลำต้นตั้งตรงเปลือกสีน้ำตาล ใบมีรูปทรงรีเรียวสวย มีขนาดใบที่ใหญ่และหนา มีผิวเกลี้ยงเป็นเงา สีเขียวเข้มเกือบดำ และด้วยความที่มีจุดเด่นตรงส่วนใบต้นยางอินเดียจึงสามารถดึงดูดสายตาของผู้ที่พบเห็นได้ไม่ยาก สายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในบ้านเรามากที่สุดคือ ยางอินเดียใบดำ เนื่องจากมีใบสีเข้มเกือบดำ มีสีสวยโดดเด่นสะดุดตามากกว่าสายพันธุ์อื่นนั่นเอง สายพันธุ์อื่นๆ เช่น ต้นยางอินเดียแคระ ต้นยางอินเดียใบด่าง เป็นต้น นิยมนำมาเพาะชำในกระถางเป็น ต้นไม้บังแดด เพื่อปรับแต่งเลี้ยงในบ้าน จนกลายเป็นไม้ฟอกอากาศยอดฮิต ต่อให้ไม่ด่าง ก็มีราคาแรงกว่าไม้ประดับทั่วไป
ยางอินเดียที่นิยมในปัจจุบัน
- ต้นยางอินเดียดำ มีความเชื่อในกลุ่มผู้เลี้ยงต้นไม้มงคลว่า หากวางไว้ในบ้านต้นยางอินเดียจะช่วยส่งเสริมผู้อยู่อาศัย ช่วยเยียวยาจิตใจให้มีพลัง ปัจจุบันนี้นิยมนำมาเป็นไม้ประดับฟอกอากาศ นิยมปลูกในบ้านและรอบๆ ตัวบ้าน
- ต้นยางอินเดียด่างขาว มีลักษณะใบด่างสีเขียวอ่อน และสีขาวแซม ลวดลายสวยงาม ยิ่งด่างเสมอกันยิ่งมีราคาสูง มีร้านค้าออนไลน์จำหน่ายราคาหลักพันบาท นิยมนำมาจัดกระถางตกแต่งบ้าน เป็น ต้นไม้บังแดด
- ยางอินเดียด่างชมพูมีลักษณะแซมสีชมพูแทนสีขาว และก้านใบก็เป็นสีชมพู จำหน่ายกันในราคาเริ่มต้น ต้นเล็กๆ มี 3-4 ใบ ราคายางอินเดียด่างชมพูเริ่มต้น 200 บาท เหมาะสำหรับวางในบ้านริมหน้าต่างที่โดนแสงแดด และควรยกออกมารับแสงแดดรำไร 3-5 ชั่วโมง
- ยางอินเดียด่างสามสี จะมีสีเขียว สีขาว สีชมพู แซมกันอยู่ที่ใบและต้น ควรเลี้ยงในบ้าน และยกออกมารับแสงแดด
การดูแล
- เมื่อคุณซื้อต้นยางอินเดียมาใหม่ ควรวางตั้งไว้บริเวณที่รับแดดรำไร 5-7 วัน หากเป็นหน้าฝนควรวางในบ้าน เพื่อให้ต้นไม้ปรับสภาพกับสิ่งแวดล้อม สังเกตสีใบหากเหลือง หรือดูไหม้ ควรย้ายที่รับแสงมายังบริเวณแสงอ่อนลง และลดระยะเวลาวางรับแสง
- การรดน้ำต้นยางอินเดีย และต้นยางอินเดียด่าง หากวางไว้ในบ้าน ควรใช้กระถางที่มีถาดรองน้ำ รดน้ำให้ดินพอชุ่ม ทุก 3-5 วัน เพื่อรักษาใบให้สวยงาม ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบ ให้คราบน้ำออกจากผิวใบ ดูเงางาม
- การพรวนดินและเปลี่ยนกระถาง ควรทำเมื่อรับต้นไม้มาเลี้ยงดูตั้งแต่แรกๆ เพื่อกำจัดเชื้อราที่มากับวัสดุปลูก เมื่อย้ายกระถางใหม่ ควรใช้ดินก้ามปู ผสมกับยากันเชื้อราเล็กน้อย และใส่ปุ๋ย ควรเปลี่ยนกระถางเมื่อต้นไม้มีขนาดใหญ่ขึ้น
พลูด่างยักษ์
พลูด่างยักษ์ (Devil’s Ivy หรือ Golden Pothos) มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Epipremnum aureum เป็นไม้เลื้อย ลำต้นกลมอ่อน มาพร้อมรากอากาศ ส่วนใบทรงหัวใจ สีเขียวปนเหลืองหรือขาว โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนา สามารถปลูกลงในกระถางหรือในแจกันก็ได้ ทนโรค ทนแมลง โตได้ในทุกสภาพ ดูแลไม่ยาก ไม่ต้องเปลี่ยนกระถางบ่อย นิยมขยายพันธุ์ด้วยการปักชำ ชอบดินร่วนที่ผสมปุ๋ย ทรายหยาบ และใบไม้แห้ง ชอบอุณหภูมิประมาณ 18-24 องศาเซลเซียล ต้องการแสงแดดจัด เป็น ไม้บังแดด ต้องการความชื้นสูง ต้องการน้ำสัปดาห์ละครั้ง หรือแล้วแต่สภาพหน้าดินและอากาศ
ซึ่งพลูด่างยักษ์ ก็คือพันธุ์เดียวกับพลูด่างธรรมดาที่ใบเล็กๆ สรรพคุณ เป็นไม้ฟอกอากาศชั้นดี เลี้ยงง่าย โตไว เหมาะแก่การตกแต่งบ้านและสวน สามารถปลูก ได้ทั้งในอาคาร และนอกอาคาร ทนต่อสภาพอากาศบ้านเรา ใบอ่อนมีรูปทรงไข่ ใบที่เจริญเต็มที่มีรูปทรงหัวใจ ใบมีลายด่างสีเหลืองหรือสีเขียวสม่ำเสมอ ลำต้นใหญ่
พันธุ์ที่นิยมได้แก่
พลูด่างราชินีหินอ่อน
ใบรูปทรงหัวใจ มีลายด่าง ขาว-เขียว คล้ายลายหินอ่อน
พลูด่างราชินีสีทอง
ใบมีสีเขียวอ่อน สีเขียวแกมเหลือง หรือสีเหลือง
เลี้ยงง่าย โตไว ทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆได้ดี
ชอบที่ร่มรำไร ความชื้นสูง
สามารถขยายพันธุ์โดย ปักชำ กิ่ง/ยอด ได้
นิยมปลูกในแปลงจัดสวนให้อิงตามเสาหรือต้นไม้เป็นส่วนใหญ่
เนื่องจากลำต้นเมื่อโตเต็มที่ จะมีขนาดขนาดใหญ่ ลำต้นมีความสูงมาก ใบใหญ่ ดกหนา และที่สำคัญมีรากยาวลึก
ลำต้นโตเต็มที่สูงได้มากกว่า 15 เมตร
ปลูกลงดิน จะทำให้ต้นโต ใบใหญ่ กว่าปลูกในกระถาง
วิธีปลูกพลูด่างให้กลายร่างเป็นใบยักษ์
หลายคนคงไม่ทราบว่าเจ้าพลูด่างใบเล็กๆที่เราปลูกในบ้านกันนี้สามารถกลายร่างเป็นเจ้ายักษ์ใหญ่ใบเบ้อเริ่มได้ง่ายๆ วันนี้เราจะมาบอกเคล็ดลับกัน
เริ่มจากเราต้องนำเจ้าพลูด่างจิ๋วๆลงดินก่อน ปลูกไว้โคนต้นไม้ใหญ่ก็ยิ่งดี ปล่อยให้มันโตขึ้นเกาะกับต้นไม้ใหญ่สักพักมันจะกลายเป็นโกโก้ครั้นช์ กลายร่างเป็นเจ้ายักษ์ใหญ่ใบน่ากลัวทันที แต่ถ้ามันได้เลื้อยกลับลงมาที่พื้นแล้วล่ะก็มันจะกลายร่างกลับเป็นใบจิ๋วๆได้เหมือนเดิม
ต้นกระท่อม
ต้นกระท่อม จัดอยู่ในพืชวงศ์กาแฟ เป็นพืชยืนต้นขนาดปานกลาง มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เขตร้อนชื้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ทั้งในประเทศไทย มาลายู และอินโดนีเซีย เป็นต้น ซึ่งในประเทศไทยเอง จะมีชนิดกระท่อม หรือสายพันธุ์ของกระท่อมหลัก ๆ อยู่ 3 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์แตงกวา พันธุ์ก้านแดง และพันธุ์ยักษาใหญ่ หรือเรียกว่า หางกั้ง โดยในประเทศไทยส่วนใหญ่ จะนิยมปลูกกันในภาคใต้ ทั้งสามสายพันธุ์นี้เหมาะสมที่จะปลูกในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง
ลักษณะพฤกษศาสตร์ทั่วไป จะมีลักษณะใบท่อมคล้ายกระดังงา มีทั้งกระท่อมก้านเขียว และกระท่อมก้านแดง ใบเรียงตัวเป็นใบเดี่ยว เรียงตัวเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน แผ่นใบขนาดใหญ่ มีสีเขียว และมีดอกสีขาวออกเหลืองกลมโต ออกดอกเป็นช่อ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ความสูงประมาณ 10-15 เมตร พบได้ทั้งในภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทย
ต้นกระท่อม การดูแลง่ายมาก เป็นพืชที่จะต้องใช้ดินร่วนซุยในการปลูก เนื่องจากเป็นดินที่ระบายน้ำได้ดี ไม่ทำให้น้ำขังจนเกิดรากเน่า และตำแหน่งการปลูกกระท่อม จะต้องปลูกในที่โล่งแจ้ง เพราะชอบแสงแดดจ้า ใช้เป็น ต้นไม้บังแดด และย้งเป็นการลดการเกิดเชื้อราในพืชอีกด้วย
วิธีรดน้ำ จะต้องรดน้ำ ให้ทั่วดิน รดอย่างทั่วถึง ซึ่งรดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว และยิ่งเมื่อโตขึ้น เป็นต้นใหญ่เต็มที่ ผู้ดูแลไม่จำเป็นต้องรดน้ำทุกวัน อาจจะ 1-2 วัน รดวันละครั้งก็ถือว่าเพียงพอสำหรับความต้องการแล้ว
สรรพคุณของกระท่อม
- เป็นสมุนไพรที่ช่วยให้หลับง่าย ระงับประสาท ทำให้รู้สึกไม่วิตกกังวล
- ช่วยในการบรรเทา รักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามร่างกาย
- เพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย(ยัน)
- รักษาอาการปวดท้อง ท้องเสีย ท้องอืดท้องเฟ้อ โรคบิด มวนท้อง
- หากนำมาตำ จะใช้เป็นยาสมุนไพรสำหรับการพอกรักษาแผลต่าง ๆ
ผลเสียกระท่อม
แต่หากใช้วิธีที่ผิด ก็ส่งผลเสียต่อร่างกาย และทำลายระบบประสาทได้ หากรับประทานในปริมาณที่มากเกิน หรือรับประทานติดต่อกันอย่างยาวนาน โดยเฉพาะผู้ที่ชอบนำไปต้ม แล้วเอาไปผสมกับเครื่องดื่มต่าง ๆ เป็นการใช้ที่ผิดหลักวิธี โดยผลเสียที่จะเกิดขึ้นได้ ดังนี้
- รู้สึกเบื่ออาหาร ท้องผูก ปัสสาวะบ่อย ระบบขับถ่ายไม่ดี
- นอนไม่หลับ ประสาทหลอน มีอาการหวาดระแวง หูแว่ว
- ปากแห้ง มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
- ไม่มีแรง หนาวสั่นเข้ากระดูก
- ผิวหนังเปลี่ยนแปลง มีผิวหนังสีเข้มคล้ำมากขึ้น
ต้นล่ำซำ
ต้นล่ำซำหรือชื่ออื่นคือต้นสั่งทำ / ต้นหูหนู ได้รับความนิยมมากในเมืองไทย โดยเฉพาะในสนามกอล์ฟ นอกจากนี้ตามบ้านเรือนก็นิยมนำมาปลูก เพราะนอกจากความสวยงามสง่าแล้ว ยังมีความเชื่อที่ว่าทำจะนำความรุ่งเรืองมาให้กับบุคคล
ต้นล่ำซำเป็นต้นไม้ในตระกูลเดียวกับมะเกลือ เป็นไม้เนื้อแข็ง สีดำ แต่เป็นคนละชนิดกับ Black African Ebony หรือไม้มะเกลือดำแอฟริกัน มีลักษณะเด่นคือเป็นทรงพุ่มสามเหลี่ยมหนาแน่นเป็นต้นไม้ที่มีความแข็งและทนทานมาก ในต่างประเทศจึงนิยมมากในการนำมาปลูกตามริมถนนเป็นแถวยาวตลอดทั้งสายเป็น ต้นไม้บังแดด เพื่อเอาร่มเงา และสร้างบรรยากาศให้ดูสวยงามและเป็นธรรมชาติ
การดูแล
1. ปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิด ยกเว้นดินที่มีน้ำท่วมขัง ทนแล้ง ไม่ค่อยมีโรคภัยรบกวนหรือพวกแมลง หนอนลง เหมือนต้นหูกระจง
2. ชอบแดดจัด ไม่ต้องรดน้ำบ่อย สัปดาห์หนึ่งรดน้ำ 1-2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว หรือดูจากสภาพดินโคนต้น ถ้าดินยังชุ่มชื้น เย็นอยู่ก็ยังไม่ต้องรด แต่ถ้าดินโคนต้นแห้ง ค่อยให้น้ำสักครั้ง แต่ไม่ต้องรดเยอะ เพราะต้นหูหนูไม่ต้องการน้ำมาก
เป็นไม้ต้น ลำต้น สูง 10-20 เมตร เปลือกนอกสีเทาปนดำ แตกเป็นร่องเล็ก ตามยาว กิ่งอ่อนมีขนนุ่มปกคลุม ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปรี รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หรือรูปไข่ ขนาด 0.5-1.5 x 1-3 เซนติเมตร ปลายใบมน หรือเป็นติ่งแหลม โคนใบสอบหรือมน ผิวใบทั้งสองด้านเกลี้ยง มีขนตามแนวเส้นกลางใบ ขอบใบเรียบ ก้านใบสั้น ดอก ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้นดอกเพศออกเป็นช่อ ช่อละ 2-3 ดอก เพศเมียมักออกเดี่ยวตามซอกใบ และมีขนาดใหญ่กว่าดอกเพศผู้เล็กน้อย ผล รูปกลมรี หรือรูปกระสวย ขนาด 0.5-1 x 1-1.5 เซนติเมตร แต่ละผลมีเมล็ด 1-4 เมล็ด ช่วงการออกดอกและติดผล ระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนสิงหาคม
ต้นไม้ที่แนะนำไปทั้งหมดสามารถปลูกใน กระถางผ้า ของ SGE ได้
ข้อดีของกระถางผ้าคือ
- ทำจากวัสดุ Recycle เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- สามารถระบายอากาศและน้ำได้ดี ส่งผลต่อการเจริญเติบโต
- ผลิตจากผ้าไฟเบอร์ชนิดพิเศษไม่เกิดรา ทนต่อแสง UV ไม่กรอบ
- ลดอุณหภูมิบริเวณราก ไม่ร้อนระอุเหมือนกระถางพลาสติก ทำให้รากเย็น เดินได้ไว