ส่อง หญ้า แต่ละสายพันธุ์ แบบไหนที่นิยมปลูก!
หากพูดถึง หญ้า 🌱 พืชคลุมดิน ที่อยู่คู่กับโลกมานานแสนนานเกือบเท่าอายุของโลกใบนี้ ซึ่งเป็นพืชคลุมผิวโลกประมาณ 20% ของพื้นที่ทั้งหมด มีหลายชนิดและมีหลายสกุล เป็นพืชที่มีความสำคัญที่สุดต่อเศรษฐกิจมนุษย์ รวมไปถึง ใช้เป็นสนามหญ้า อาหารหลักที่ปลูกทั่วโลก แต่บางชนิดจัดเป็นวัชพืช เช่น พืชที่เกิดตามธรรมชาติตามท้องไร่ท้องนา พืชเหล่านั้น จึงถูกมองเป็นวัชพืช คอยแย่งน้ำและแย่งอาหาร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเจริญเติบโตของต้นไม้ และเมื่อปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ จะส่งผลให้ต้นไม้เหี่ยวและตายลงในที่สุด ซึ่งไม่ใช่หญ้าทุกชนิดจะเป็นแบบนั้น
ในบทความนี้ SGE ขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “หญ้า“ แต่ละสายพันธุ์ แบบไหนที่นิยมปลูกในประเทศไทยกัน จะเป็นอย่างไร ไปดูพร้อมกันเลยจ้า
สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่ห่างไกลและโหยหวนธรรมชาติ สนามสีเขียวชอุ่มเล็ก ๆ ในบ้านอาจกลายเป็นมุมโปรดในการพักผ่อนหย่อนใจของใครหลาย ๆ คน ด้วยเพราะความเขียวขจีของต้นพืชชนิดนี้ จึงช่วยคลายความเครียดจากภารกิจ ประจำวันได้เป็นอย่างดี หรือจะใช้เป็นสถานที่รับแขก จัดกิจกรรมจิบน้ำชายามบ่าย นั่งเล่นอ่านหนังสือ รับแสงแดดอุ่น ๆ กลิ่นอายดินและหญ้าจากธรรมชาติ จึงได้กลายเป็นการตกแต่งบ้านที่ทรงคุณค่า ที่หลายคนต่างเคยฝันใฝ่ที่จะได้ครอบครองบ้านที่มีสนามเล็ก ๆ เป็นของตนเอง
หญ้า 🌱 สายพันธุ์ไหน ที่มักนิยมปลูก?
สำหรับที่นิยมปลูกกันในปัจจุบันที่เหมาะสมสำหรับปลูกทำสนามวิ่งเล่น ลานกิจกรรม หรือเติมบรรยากาศบริเวณรอบบ้าน และมีวางขายโดยทั่วไปนั้น หลัก ๆ จะมีอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน คือ พันธุ์ญี่ปุ่น, พันธุ์นวลน้อย และพันธุ์มาเลเซีย
หญ้ามาเลเซีย
สำหรับสายพันธุ์มาเลเซีย หรือ Tropical Carpet Grass นับเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่มีผู้นิยมนำมาปูบนสนาม และปูบนทางเดินโดยทั่วไป เพราะเหตุผลสำคัญ คือ เป็นพืชที่ดูแลรักษาง่ายที่สุดในบรรดาพืชปูพื้นทั้งหมด อีกทั้งยังมีราคาถูกอีกด้วย พันธุ์มาเลเซีย จึงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของคนที่มองหาพืชปูพื้นสนาม ที่ไม่ต้องการการเอาใจใส่มากนัก และราคาประหยัด
พันธุ์มาเลเซีย มีรูปพรรณสัณฐานที่โดดเด่นสังเกตง่าย มีใบใหญ่กว่าใบชนิดอื่น ๆ ทุกชนิด เหมาะที่จะปลูกใต้ร่มไม้ใหญ่หรือใต้ชายคาบ้านเพราะต้องการแสงแดดน้อย แต่ก็ปลูกกลางแจ้งได้ โดยต้องให้น้ำในปริมาณมากเป็นพิเศษ หากขาดน้ำ ขอบใบจะเปลี่ยนจากสีเขียว เป็นสีแดงเลือดหมู ชนิดนี้ไม่ทนต่อการเหยียบย่ำ เนื่องจากใบอวบน้ำและเปราะ ใช้นั่งเล่นก็จะทำให้ก้นเปียกน้ำได้
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
|
|
ลักษณะของพันธุ์มาเลเซียโดยทั่วไป
จัดเป็นพันธุ์พื้นเมืองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการนำเข้ามาในประเทศไทยครั้งแรก จากประเทศมาเลเซีย ทำให้คนทั่วไปเรียกกันติดปากว่า “หญ้ามาเลย์” จากนั้นก็เริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในทางตอนใต้ของประเทศไทย พันธุ์มาเลย์ มีสีเขียวเข้มมากกว่าชนิดอื่น ๆ เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ใบมีขนาดที่กว้าง 1-2 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบ บางต้นหากเจริญเติบโตเต็มวัยแล้ว จะมีดอกสีขาวบนกอ ลำต้นเตี้ยปกคลุมผิวดิน
การดูแลรักษาหญ้ามาเลเซีย
สำหรับชนิดนี้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินทุกสภาพ ยกเว้นดินเค็มที่ควรต้องมีการบำบัดดินเสียก่อน ปลูกง่ายโตเร็วในที่โล่งแจ้ง หรือมีแดด มีนิสัยชอบที่ชื้น และอยู่ในที่ที่มีน้ำขังตลอดทั้งวันได้โดยที่ไม่เหี่ยวเฉา จึงควรปลูกตามที่อับแสง หรือแสงลอดผ่านได้ประมาณ 50% จะเหมาะที่สุด สามารถแตกกอใหม่ไปทั่วบริเวณที่มีดินและน้ำอย่างเพียงพอ หมั่นรดน้ำให้ในตอนเช้า-เย็นของทุก ๆ วัน เพราะพันธุ์มาเลย์ชอบน้ำและความชื้นมาก อย่าให้ขาดน้ำเป็นอันขาด และที่สำคัญต้องรดให้ทั่วถึงทุกพื้นที่
โดยปกติแล้วสายพันธุ์ชนิดนี้ สามารถเจริญเติบโตได้ดีตามธรรมชาติอยู่แล้ว จึงไม่ต้องใส่ปุ๋ยช่วยในการเจริญเติบโตก็ได้ เพราะสายพันธุ์นี้สามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
การตัดแต่งสายพันธุ์มาเลเซีย
ไม่จำเป็นต้องตัดบ่อยเหมือนชนิดอื่น ๆ โดยตัดให้สั้นประมาณ 1.2 นิ้ว ทุก ๆ 10-15 วัน เพื่อให้อยู่ในลักษณะที่พอเหมาะ ไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไป สามารถใช้เครื่องมือตัดหญ้าได้ทุกชนิด
การขยายพันธุ์มาเลเซีย
เนื่องจากเป็นพืชที่เติบโตได้ง่าย หลายคนจึงนิยมขยายพันธุ์ด้วยตนเอง โดยการตัดลำต้นนำมาปักชำห่างกันเป็นจุด ประมาณจุดละ 10-15 เซนติเมตร หากมีปลูกอยู่แล้ว สามารถขุดให้เป็นแผ่นโดยที่ดินติดมาตรงรากด้วย เพื่อที่จะนำไปลงหลุม เว้นระยะให้ห่างกัน 30 เซนติเมตร รดน้ำเช้า-เย็นอย่างสม่ำเสมอ
หญ้าญี่ปุ่น
สำหรับชนิดนี้ หรือเรียกอีกชื่อว่า Japanese Lawn grass มีใบเล็กละเอียด ปลายใบแข็ง เวลาสัมผัสถูกจะระคายผิวหนัง มีถิ่นกำเนิดจากแถบตอนเหนือของประเทศจีน และคาบสมุทรเกาหลี หรือที่เรียกว่า “แมนจูเรีย” แม้จะมีต้นกำเนิดในดินแดนที่หนาวสุดขั้น แต่ก็เป็นชนิดที่เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนเช่นกัน มีความทนทานต่อสภาพอากาศที่เลวร้ายได้ดี ไม่ว่าจะหนาวจัด และแห้งแล้งจัด ชอบแดดจัดตลอดทั้งวัน ทนต่อการ เหยียบย่ำได้ดี
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
|
|
พันธุ์ญี่ปุ่นนี้ ยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ
- ชนิดใบกว้าง จะมีใบประมาณ 4 มิลลิเมตร
- ชนิดใบกลม ใบเล็กและละเอียดกว่า ซึ่งเป็นที่นิยมปลูกในประเทศไทยอย่างมาก
ลักษณะของหญ้าญี่ปุ่นโดยทั่วไป
- ลำต้น เป็นพวกเลื้อยตามดิน และลำต้นจะตั้งแข็งทั้งลำต้นบนดิน และลำต้นใต้ดิน
- ใบ ใบสีเขียวเข้ม ใบเล็กละเอียดกลมแข็ง ปลายใบแข็งและแข็งกระด้างเวลาสัมผัสจะระคายผิวหนัง ขอบใบเรียบไม่มีขน ช่อดอกสั้น ดอกเล็ก และมีสีน้ำตาลออกดำ ดอกจะรวมกันแน่นบนก้านดอก ดอกจะบานจากส่วนล่างขึ้นบน
การดูแลรักษาหญ้าญี่ปุ่น
สำหรับพันธุ์ญี่ปุ่นโดยปกติต้องการน้ำมาก และมีการเจริญเติบโตช้ากว่าชนิดตกแต่งสนามโดยทั่วไป จึงต้องใช้นานนับเดือนหรือเป็นปีกว่าพันธุ์ญี่ปุ่นจะขึ้นปกคลุมเต็มสนาม เนื่องจากเป็นพันธุ์ที่เจริญเติบโตช้า เมื่อขึ้นแล้วจะหนาแน่นมาก ขึ้นคลุมดินจนวัชพืชไม่สามารถขึ้นแข่งได้ ไม่ต้องการการตัดแต่งบ่อยนัก เพราะเจริญเติบโตช้า เมื่อใดที่ปล่อยทิ้งรกร้างไว้นาน ๆ ก็จะขึ้นเป็นกระจุกแข็ง จนทำให้การตัดแต่งลำบากยิ่งขึ้น
เป็นชนิดที่ทนต่อการเหยียบย่ำพอสมควร แต่ไม่เหมาะจะใช้นั่งเล่น เพราะมีใบที่แข็งกระด้างเวลานั่งจะรู้สึกรำคาญจากต้นหญ้าที่แทงก้น จึงเหมาะสำหรับการปลูกเพื่อปกคลุมหน้าดินสร้างบรรยากาศสวนเขียวสดชื่นมากกว่าจะลงไปนั่งไปนอนเล่นทำกิจกรรม
สำหรับดินปลูกต้นไม้ที่เหมาะสมกับชนิดนี้ ควรมีความเป็นกรดเป็นด่าง pH ประมาณ 6-7 และยังชอบขึ้นในดินเหนียวด้วย พันธุ์ญี่ปุ่นไม่ต้องการการใส่ปุ๋ยมากนัก ทนต่ออากาศหนาวได้ดี อาจทนได้ถึงประมาณ 10-20 องศาฟาเรนไฮด์ ทนต่อโรคหรือแมลงต่าง ๆ ได้มากกว่าชนิดอื่น เรียกว่าสมบุกสมบัน เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลสนามหญ้า แต่อย่างไรก็ดีถึงจะไม่ค่อยมีเวลาประคบประหงมแต่ข้อควรระวัง คือ ต้องอย่าให้พันธุ์ญี่ปุ่นขาดน้ำเป็นเวลานาน ๆ เพราะเมื่อใดที่ขาดน้ำ หรือแห้งแล้งนาน สีของใบจะเหลืองโดยทันที และยากที่จะฟื้น ต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับเขียวชอุ่มดังเดิม
การตัดแต่งหญ้าญี่ปุ่น
สำหรับพันธุ์ญี่ปุ่นชนิดนี้ ควรเล็มตัดให้สั้นประมาณ 0.5-1.0 นิ้วอยู่เสมอ ๆ โดยตัดทุก ๆ 7-10 วัน ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานวันจะขึ้นเป็นกอเป็นกระจุก เมื่อตัดแล้วจะมีสีเหลืองเป็นหย่อม ๆ มองดูแล้วน่าเกลียด ไม่สวยงาม ซึ่งเป็นข้อเสียของชนิดนี้ เนื่องจากสายพันธุ์ญี่ปุ่นมีลำต้นและใบแข็งกระด้างมาก และไม่ค่อยยืดหยุ่นตัวเหมือนกับชนิดอื่น ๆ ดังนั้น การใช้เครื่องตัด ต้องมีกำลังสูง และมีใบมีด ที่คมมาก ใช้กรรไกรตัดไม่กี่วันก็หมดแรง เพราะมันขึ้นเป็นกระจุกทำให้ตัดยาก ลำต้นและใบก็เหนี่ยวรั้งอยู่เสมอๆด้วย ซึ่งทำให้กินแรงในการตัดแต่งเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งใช้ เครื่องตัดหญ้า ก็ต้องลับมีดบ่อยครั้ง เพื่อให้คมอยู่เสมอ หากใครที่ไม่ชอบตัดแล้วละก็เลิกคิดถึงสายพันธุ์ญี่ปุ่นนี้ไปได้เลย
การขยายพันธุ์ญี่ปุ่น
สามารถขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด และใช้ส่วนต่าง ๆ ปลูก เช่น ลำต้น เหง้า ไหล แต่นิยมกันมากก็ใช้ส่วนต่าง ๆ โดยปลูกแยกต้นปลูก การปลูกเป็นกระจุก และการปูเป็นแผ่น ๆ ส่วนการปลูกด้วยเมล็ดไม่นิยมเพราะการเจริญเติบโตช้ามาก
หญ้านวลน้อย
สำหรับพันธุ์นวลน้อย (Manila Grass) พันธุ์พื้นเมืองของไทยที่นิยมปลูกมากที่สุด ตามบริเวณลานหน้าบ้าน แปลงจัดสวนดอกไม้ สนามกีฬา สนามกอล์ฟ และอื่น ๆ เนื่องจากเป็นพืชที่เติบโตได้ดีในดินเกือบทุกชนิดทั้งดินเหนียว ดินทราย ทนต่อสภาพอากาศร้อน หรือแห้งแล้งของเมืองไทยได้ดี เจริญเติบโตเร็ว จึงสามารถขยายไหลเป็นแผ่นที่ครอบคลุมหน้าดินได้เร็วกว่าพันธุ์อื่น ๆ สำหรับชนิดนี้ จะมีลำต้น และใบยืดหยุ่นตัวได้ดี กว่าชนิดอื่น ๆ ทนต่อสภาพการเหยียบย่ำ ไม่ว่าจะเป็นการเหยียบย่ำของคน รถยนต์ หรือวัสดุต่าง ๆ ได้ดี โดยใบไม่ทำให้รู้สึกระคาย บาดเท้า ลำต้น และใบอ่อนนุ่ม ไม่หยาบกร้าน แม้นอนทับจะไม่ค่อยระคายผิว หรือทำให้เกิดอาการคัน ลำต้นไม่ขึ้นสูง และตัดตกแต่งได้ง่าย แลดูคล้ายพรมหลังการตัดแต่ง รวมถึงคุณสมบัติพิเศษที่ลำต้นแตกกอคลุมหน้าดินได้รวดเร็ว จึงนิยมปลูกทำลานวิ่งเล่นภายในบ้านหรือสวนหย่อมในบริเวณบ้าน บริเวณช่องว่างระหว่างขอบแปลงจัดสวนหรือสวนหย่อม ใช้ปลูกเป็นพื้นสนามกีฬา สนามเด็กเล่น สนามกอล์ฟ โดยเฉพาะพื้นที่กรีน (Green) รอบหลุมกอล์ฟ รวมถึงลานสวนสาธารณะหรือสถานที่ราชการ เพราะเติบโตไว ไม่มีโรค และแมลงกัดกิน
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
|
|
ลักษณะของหญ้านวลน้อยโดยทั่วไป
สายพันธุ์นวลน้อย มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับสายพันธุ์ญี่ปุ่น แต่ที่แตกต่างกัน คือ
- มีใบกว้างกว่า
- การเจริญเติบโตเร็วกว่า
- ใบไม่แข็งกระด้าง แต่พันธุ์ญี่ปุ่นนี้มีค่อนข้างแข็งกระด้าง
- ช่อดอกยาว และเห็นได้ชัดกว่า
การดูแลรักษาสายพันธุ์นวลน้อย
สำหรับสายพันธุ์นวลน้อย โดยปกติต้องการน้ำปานกลางแต่สม่ำเสมอ จึงควรรดน้ำเป็นประจำ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น การใช้ปุ๋ย ควรทำอาทิตย์ละ 1 ครั้ง โดยใช้สูตร 18-12-6 หรือ 20-20-0 อัตรา 20-40 กิโลกรัม ต่อพื้นที่ 1 ไร่ ทั้งนี้ ควรให้ปุ๋ยตอนเย็น และตามด้วยการรดพรมน้ำ เพื่อไม่ให้เม็ดปุ๋ยค้างบนใบ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการใบลวก ใบไหม้ได้
การตัดแต่งหญ้านวลน้อย
ควรทำทุก ๆ 7-10 วัน เนื่องจากเป็นพืชที่มีการเติบโตรวดเร็ว การตัดแต่งจึงใช้เครื่องมือได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นกรรไกรหรือรถตัด ควรตัดให้สั้น 0.5 นิ้ว เพราะชนิดนี้ จะมีช่อดอกค่อนข้างยาว ดอกมีสีน้ำตาลดำ เห็นได้ชัดในเวลาออกดอก เมื่อตัดเรียบร้อยแล้วสนามจะดูสวยงามคล้ายพรม
การขยายพันธุ์นวลน้อย
โดยปกติแล้วสายพันธุ์นี้ จะสามารถเติบโตและไหลไปปกคลุมหน้าดินในส่วนอื่น ๆ ได้เองอย่างรวดเร็ว แต่หากต้องการเพาะพันธุ์ หรือแยกไปปลูกในพื้นที่อื่น ๆ อาจทำด้วยการหว่านเมล็ด เพื่อให้เติบโต หรือการเพาะแผ่นหญ้าบนพื้นดินราบเรียบ ยิ่งเป็นดินเหนียว จะยิ่งง่ายต่อการย้ายไปปลูกที่อื่น
หญ้าไทเป
สำหรับคนอยากมีสนามหญ้าแต่ไม่ต้องการตัดบ่อยครั้ง อีกทั้งการดูแลรักษาก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ใจเย็นรอให้แตกกอก็พอ ตัวสายพันธุ์ไทเปนั้น ใบสั้น แต่เมื่อขยายแล้วจะแน่น กว่าชนิดอื่น ลำต้นจะเลื้อยใต้ดิน จะโผล่ขึ้นมาแค่ใบ สายพันธุ์ไทเป ปลูกแล้วแทบไม่ต้องตัดเลย สามารถขึ้นได้ดีในดินเกือบทุกชนิด ยกเว้นดินเปรี้ยว และดินเค็ม
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
|
|
ลักษณะโดยทั่วไป
รูปทรงเตี้ย และขึ้นเป็นกอแผ่ออกไปทุกทิศทาง ใบจะสั้นเตียน มีใบซ้อนกันประมาณ 3-4 ชั้น ยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร
การดูแลรักษาสายพันธุ์ไทเป
ชนิดนี้แทบไม่แตกต่างจากการเลี้ยงดูชนิดอื่น ๆ เพียงต้องมีความอดทนเพราะเป็นพันธุ์ที่เติบโตไม่รวดเร็วนัก ในระหว่างที่รอการขยายปกคลุมเต็มพื้นที่ ควรหมั่นเก็บวัชพืชอื่นออกเรื่อย ๆ เพื่อให้ผืนหญ้าดูสม่ำเสมอด้วยใบลักษณะชนิดเดียวกัน รดน้ำให้ชุ่มทุกวัน การใช้ปุ๋ย ควรทำ หลังจากปลูกได้อายุมากกว่า 1 เดือนขึ้นไป ในทุก ๆ 3 เดือน และเลือกใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อรักษาคุณภาพดินจะได้ไม่เสีย
การขยายพันธุ์สายพันธุ์ไทเป
สามารถทำได้โดยการ หาซื้อเมล็ดมาปลูก หรือการปลูกโดยเทคนิค ใช้แผ่นมาตัดเป็นแผ่นเล็ก ๆ กว้างยาวประมาณ 2-3 นิ้ว กดลงในพื้นที่ที่เตรียมไว้ ให้มีระยะห่าง ต่อแผ่นประมาณ 3-4 นิ้ว และรดน้ำให้ชุ่ม อย่าให้ขาด
หญ้าเบอร์มิวด้า
สำหรับสายพันธุ์เบอร์มิวด้า หรือหญ้าแพรก ที่เป็นที่รู้จักกันมานาน มักพบขึ้นเองตามที่ว่างริมถนน หรือบริเวณสนาม เป็นพืชที่ก้ำกึ่งกับวัชพืช เป็นสัญลักษณ์ ในพิธีไหว้ครู คู่กับดอกเข็มมาตลอด ซึ่งพันธุ์แพรกนี้หมายถึง ความแตกแขนงของปัญญา เป็นหนึ่งในพืชที่ทนต่อการเหยียบย่ำ รวมไปถึงยังฟื้นคืนตัวได้ดี และมีความแข็งแรงมาก จึงเป็นที่นิยมนำมาปลูกในสนามกอล์ฟ แต่ก็สามารถปลูกบริเวณบ้านได้เช่นกัน มีสรรพคุณทางยาอีกเพียบ โดยส่วนที่ใช้สำหรับปรุงยาก็คือ ลำต้น และราก นำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ไข้ ขับลม อาเจียนเป็นเลือด แก้อัมพาต ปวดเมื่อยกระดูก แก้โรคเบาหวาน ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้บวมน้ำ แก้ริดสีดวงทวาร หรือใช้ลำต้นสดนำมาตำให้คั้นเอาน้ำและกาก ทา หรือพอกแก้ปวดข้อ ช่วยห้ามเลือด พิษไข้มีผื่นต่าง ๆ เช่น เป็นหัด เหือด อีสุกอีใส ดำแดง เป็นต้น
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
|
|
ลักษณะโดยทั่วไป
ลักษณะของสายพันธุ์เบอร์มิวค้านั้น ใบมีความเรียวงาม ลักษณะลำต้นเป็นข้อปล้อง ตัดสั้นสวยมาก ชอบแสงแดด ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี ไม่ชอบอุณหภูมิต่ำ การปลูก หญ้า ชนิดนี้ อาจต้องขยันตัดแต่งบ่อยครั้ง จะออกมาสวยงาม
การดูแลรักษาสายพันธุ์เบอร์มิวด้า
แม้จะเป็นพันธุ์ที่ขึ้นง่าย พบเห็นว่าขี้นได้ทั่วไปตามพื้นที่รกร้าง แต่กลับเป็นพันธุ์ที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่สูง หากต้องการเลี้ยงให้สวย ควรมีการตัดเล็มอยู่เป็นประจำเพื่อให้ได้ความสม่ำเสมอของลำต้น จึงจะทำให้สนามนั้น แลดูเป็นระเบียบงดงาม
การขยายพันธุ์เบอร์มิวด้า
แม้จะเป็นพืชที่มักพบขึ้นเองตามธรรมชาติ และที่ว่างที่มีความชื้นในปริมาณค่อนข้างมาก ขยายพันธุ์ จึงทำได้โดยง่ายด้วยการใช้เมล็ดปลูก กิ่งปักชำ และตัดออกเป็นแผ่นเล็ก ๆ และนำไปวางกดบนพื้นที่ใหม่
ข้อแนะนำในการปลูกหญ้าด้วยตนเอง หรือการว่าจ้างผู้รับเหมา
สำหรับท่านที่สนใจทดลองปลูกหญ้าในสนามด้วยตนเอง สามารถทำได้ โดยวิธีการดังนี้
1. การปลูกโดยใช้เมล็ด (seeding)
เป็นวิธีที่ทำได้ง่าย และรวดเร็วกว่าวิธีอื่น ๆ แต่ต้องมีการปรับปรุงพื้นที่ให้สม่ำเสมอ และมีการปราบวัชพืชในดินให้หมดเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วหญ้าที่ขึ้นจากเมล็ด จะเติบโตสู้วัชพืชไม่ได้ และในเมืองไทยยังไม่เป็นที่นิยม เพราะหาซื้อเมล็ดได้ยาก ส่วนใหญ่ต้องมีการสั่งซื้อจากต่างประเทศ ซึ่งมักจะเสื่อมเร็ว เพราะเมล็ดหญ้ามีอายุและความงอกสั้นมาก
2. ปลูกโดยใช้แผ่นหญ้า (sodding)
เป็นที่นิยมที่สุดในบ้านเรา ทำได้รวดเร็วกว่าวิธีอื่น ๆ แต่ข้อเสีย คือ สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก เพราะต้องใช้พันธุ์หญ้าเป็นจำนวนมาก มีขายอยู่ทั่วไป โดยราคาจะคิดเป็นเป็นตารางเมตร ๆ ตารางเมตรหนึ่งจะมี 4 แผ่น เช่น พันธุ์นวลน้อย พันธุ์มาเลเซีย และพันธุ์ญี่ปุ่น
3. ปลูกโดยใช้ท่อนหญ้า (sprigging)
เป็นรูปแบบที่เหมาะสำหรับสนามใหญ่ ๆ และควรใช้กับสายพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโนในแนวนอน และมีการเจริญเติบโตเร็ว เช่น นวลน้อย มาเลเซีย หรือเบอร์มิวด้า จะให้ผลดีมากที่สุด โดยใช้หญ้าแผ่นมาตัดเป็นแผ่นเล็ก ๆ กว้างยาวประมาณ 2-3 นิ้ว กดลงในเลนที่เตรียม ให้มีระยะห่าง ต่อแผ่นประมาณ 3-4 นิ้ว รดน้ำให้ชุ่ม ไม่อย่างนั้นรากจะแห้ง แผ่นที่ซื้อมา 1 ตารางเมตร จะสามารถนำมาใช้ปลูกได้ 4 ตารางเมตร โดยวิธีการดังกล่าวนี้ เหมาะสำหรับคนที่มีงบน้อยและรอคอยได้
4. การปลูกแบบหว่าน
กระทำโดยการใช้ไหลของลำต้น ที่ยาวแล้วตัดส่วนยอดที่มีข้อมาแช่นาแยกเป็นต้น ๆ หว่านลงไปในเลน ซึ่งละเลงอยู่บนสนามที่เตรียมไว้ แล้วใช้ไม้ยาว ๆ กดต้นให้ติดกับดินเลน วิธีนี้จะสิ้นเปลืองน้อยเช่นกัน แต่ใช้เวลานาน และต้องคอยรดน้ำให้ชุ่มอย่าให้ขาด
ส่วนคนที่ไม่ถนัดในการปลูก และต้องการมืออาชีพเข้ามาดูแล ควรพิจารณาตามเกณฑ์ ดังนี้ เช่น ความสดใหม่ที่นำมาใช้ ราคาที่ไม่สูงกว่าทั่วไปในตลาดมากนัก คือ จะถูกจะแพงไม่สำคัญเท่าการดูแลเอาใจใส่หลังจากที่ปลูก เป็นผู้รับเหมาที่มีการรับประกันหลังการลงปลูก และสุดท้าย คือมีประวัติผลงานที่น่าเชื่อถือทีที่ตั้งถิ่นฐานที่ชัดเจนด้วย
สำหรับ หญ้า แม้เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของการตกแต่งสนาม ประโยชน์ในทางอารมณ์และความรู้สึกมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การช่วยเติมความเขียวสดชื่นให้กับบ้าน สัมผัสที่อ่อนนุ่ม เวลาถอดรองเท้าเดินบนพรมเขียวชอุ่ม อุ่นไอความหอมสดชื่นเวลาไอน้ำระเหยออกจากยอดพืชล้มลุก ทั้งหมดนี้ ล้วนสร้างสัมผัสอันผ่อนคลาย และรื่นรมย์ให้กับเจ้าของโดยทั้งสิ้น หวังว่าบทความนี้จะทำให้ผู้อ่านหลาย ๆ คน รู้จักหญ้าให้มากขึ้นด้วยนะจ๊ะ
เราขอแนะนำตัวช่วยดี ๆ อีกหนึ่งตัว นั่นคือ เครื่องตัดหญ้า หลากหลายขนาด รับรองสินค้าดี มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน พร้อมบริการหลังการขายที่ประทับใจอย่างแน่นอน!!
😍 เครื่องตัดหญ้า SGE ดีอย่างไร?
เครื่องตัดหญ้าของ SGE มีด้วยกัน ถึง 2 รุ่น เลือกสรร มีทั้ง รุ่น 4 จังหวะและ รุ่น 2 จังหวะ โดยทั้ง 2 รุ่นสามารถรองรับดัดแปลงและเปลี่ยนหัว เป็นรูปแบบต่าง ๆ ตามการใช้งานของคุณ มีโดย รุ่น 4 จังหวะมีกระบอกสูบอยู่ที่ 35.8cc และ รุ่น 2 จังหวะ มีอยู่ที่ 40.2 cc สามารถตัดกิ่งไม้เล็ก ๆ ได้อย่างง่ายดาย ทั้งสองรุ่นแตกต่างกันเพียง ความเหมาะสมในการใช้งาน เรื่องความทนทาน อายุในการใช้งาน ที่ยาวนานหลายปี กับราคาที่จำต้องได้สบาย
ดูรายละเอียดของเครื่องตัดหญ้าของ SGE https://www.sgethai.com/grass-cutter/